วิธีแก้อาการปวดหัว แบบไม่ต้องพึ่งยา

“ร้อนจนปวดหัว!” คำพูดหรืออาการที่เรามักได้ยินเป็นประจำในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ซึ่งอาการที่สัมพันธ์กับอากาศร้อน และพบเป็นประจำก็คือ อาการปวดศีรษะไมเกรน หรือปวดศีรษะข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง มีอาการปวดตุ๊บ ๆ บริเวณขมับหรือกระบอกตา ผู้ป่วยบางรายอาจปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกาย บางรายมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อเจอกับเสียงดังหรือแสงจ้า

นอกเหนือจากนี้แล้ว สาเหตุของอาการที่พบบ่อยอีกประการคือ อยู่ในสภาพที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น จากที่เดินตากแอร์อยู่ในห้างสรรพสินค้า จู่ๆ ก็เดินออกไปบริเวณลานจอดรถร้อนๆ ส่งผลให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จนเกิดอาการไมเกรนขึ้น

อาการปวดหัวลักษณะนี้ สามารถแก้หรือบรรเทาได้โดยยังไม่ต้องไปหายามารับประทาน เพียงลองทำแบบนี้ดู!

1. หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด หรือบริเวณที่มีแสงจ้ามาก หรือหลบแดดมาพักก่อนเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวในเบื้องต้น

2. เติมน้ำให้ร่างกาย เพราะการขาดน้ำคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว

3. สูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหย เลือกชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวโดยเฉพาะ ช่วยลดปวดได้ชะงัด

4. นวดกดจุดและยืดกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ซึ่งมักสัมพันธ์กับอาการปวดหัว

5. ประคบร้อนบริเวณหลังคอด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ประมาณ 10-15 นาที เพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

6. ดื่มหรือจิบน้ำขิง เพราะหนึ่งในสรรพคุณของขิงนั้นจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ ทั้งชนิดปวดแบบสองข้าง และข้างเดียว เนื่องจากสารเคมีที่อยู่ในขิงจะสามารถปรับสารไอโคซานอยด์ ทำให้อาการปวดหัวบรรเทาลงได้

น้ำขิง นอกจากจะช่วยเรื่องบรรเทาอาการปวดหัวแล้ว การดื่มน้ำขิงเป็นประจำ ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อีกด้วย

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

PLANT BASED FOOD อาหารถูกใจผู้สูงวัย

Plant Based Food ก็คือ อาหารทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภค หรือผู้ที่ต้องการงด เลี่ยง ลดการทานเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และผู้ที่ต้องการทานอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าจริงๆ แล้ว มนุษย์ มีระบบย่อยและดูดซึมอาหารที่เหมาะกับการกินพืชผักมากกว่าการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งอาหาร Plant Based Food ส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ที่ทำมาจากพืช ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ เห็ด เมล็ดพืช ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เป็นส่วนประกอบหลักอย่างน้อย 95% และที่สำคัญคือต้องไม่มีเนื้อสัตว์ผสม (ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีผสมอยู่บ้างในปริมาณที่น้อยมาก) เน้นการได้โปรตีนจากพืช นำมาแต่งสี และกลิ่น เพื่อให้มีรสชาติ และรสสัมผัสที่มีความคล้ายกับเนื้อสัตว์มากที่สุด


สารอาหารที่ได้จาก Plant Based Food

โปรตีน : อย่างที่บอกว่า Plant Based Food เป็นอาหารที่ทำมาจากพืชตระกูลถั่ว เห็ด และธัญพืชต่างๆ ซึ่งในถั่วเหลืองและเห็ด ก็เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชชั้นดี

คาร์โบไฮเดรต : ในส่วนของคาร์โบไฮเดรต ก็จะอยู่ในข้าว แป้ง และพืชตระกูลหัว อย่างเผือก มัน และถั่ว

วิตามิน และ แร่ธาตุ : สารอาหารส่วนนี้จะมีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ แทบทุกชนิดอยู่แล้ว

ไขมัน : ไขมันก็จะได้มาจาก จากน้ำมันพืช ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันธัญพืชชนิดต่างๆ ซึ่งไขมันเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อาหาร Plant Based มีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม และชุ่มฉ่ำคล้ายเนื้อสัตว์


Plant Based Food ดีต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

Plant Based Food ไม่ได้ จำกัด อยู่แค่ในกลุ่มมังสวิรัติหรือคนที่กินเจไม่รับประทานเนื้อสัตว์เพียงเท่านั้น แต่เป็นอาหารสำหรับคนทุกกลุ่มเช่นคนที่ต้องการดูแลสุขภาพชอบอาหารคลีนกลุ่มที่เคร่งในการออกกำลังกายควบคุมอาหารรวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่เพิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มที่ควรให้ความสำคัญในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารอันเกิดจากการความเสื่อมสภาพของร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นการสะสมแคลเซียมที่กระดูกและฟันลดลงส่งผลให้ฟันจะผุกร่อนฟันสึกได้ง่าย การรับประทานเนื้อสัตว์อาจทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวได้ละเอียดส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารทำงานได้น้อยลงและเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอีกด้วย


สำหรับใครที่อยากเริ่มทาน Plant Based Food ก็สามารถเริ่มได้เลย ทานได้ทุกเพศทุกวัย อาจจะเริ่มจากอาทิตย์ละ 1 วัน แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องอย่าลืมเรื่องการล้างทำความสะอาดของพืชผักที่จะทำมาใช้ทาน เพราะอาจจะมีสารพิษปนเปื้อนได้ และอย่าลืมรักษาสมดุลของสารอาหารในร่างกายด้วยนะคะ


น้ำขิงจินเจนช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เป็นประจำ ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อีกด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ฟ้าทะลายโจรกินตอนมีไข้ แล้วดื่มน้ำขิงตอนไหนเพื่อให้ร่างกายสมดุล?

ตามตำราเภสัชกรรมไทย ของมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทย ได้อธิบายในเรื่อง “ยารสประธาน” เอาไว้ว่า หมายถึงรสของยาที่ปรุงหรือผสมเป็นตำรับแล้วจะเหลือรสของตัวยาอยู่เพียง 3รสเท่านั้นคือยารสเย็น, ยารสร้อน, และยารสสุขุม

ซึ่งหนึ่งในยารสเย็นที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิตนั่นก็คือ “ฟ้าทะลายโจร” ที่จัดเป็นสมุนไพรที่มีรสขมและฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณแก้ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ได้ รวมถึงระงับอาการอักเสบ ไอ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ และขับเสมหะได้ด้วย อีกทั้งยังแก้การติดเชื้อพวกทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย บิด และแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ

ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขยืนยันแล้วว่า ฟ้าทะลายโจรมีสาร “แอนโดร กราโฟไลด์” ที่สามารถต้านโควิด-19 ไม่ให้เข้าเซลล์ และต้านการแตกตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในร่างกายได้

การรับประทานฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีรสเย็น แนะนำให้กินในช่วงเวลามีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อตัว และกินให้มากพอและให้เร็วที่สุดเพื่อสยบไข้ที่เกิดนั้น และยังไม่ควรกินยารสร้อนใด ๆ ในช่วงนี้ แต่แนะนำให้กินเมื่ออาการไข้ อาการครั่นเนื้อตัวหรืออาการปวดเมื่อยเนื้อตัวหายไปแล้ว โดยการกินยารสร้อนในช่วงทั้งก่อนจะมีไข้ หรือหลังมีไข้ นั้นก็เพื่อสร้างสมดุล บรรเทาผลข้างเคียงในการกินฟ้าทะลายโจรจำนวนมาก รวมถึงช่วยบำรุง และให้กำลังควบคู่กันต่อไปด้วย

และหนึ่งใน “ยารสร้อน” ที่ตำราเภสัชกรรมไทยแนะนำนั่นก็คือ “ขิง” ซึ่งเป็นสมุนไพรรสเผ็ด ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณขับความเย็นในร่างกายส่วนกลาง แก้คลื่นไส้ แก้ไอ ทั้งยังเป็นยาที่สาคัญในการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้อีกด้วย เหมาะกับกลุ่มคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ร่างกายไม่ทนต่อความเย็น กลัวหนาวกลัวลม มือเท้าเย็น ไม่ค่อยอยากอาหาร อุจจาระไม่เป็นก้อน หรือคนที่ต้องการบำรุงร่างกาย

นอกจากนั้น ขิงยังออกฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านไวรัส ลดการอักเสบ ลดเสมหะ แก้คัดจมูก เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและขับเหงื่ออีกด้วย ทำให้ “ขิง” มีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องดื่มและอาหารสำหรับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้อีกด้วย

ขอสรุปว่า “น้ำขิง” ซึ่งเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน สามารถกินตลอด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว เพื่อบำรุงและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ และหากต้องการกินร่วมกันกับสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น “ฟ้าทะลายโจร” ก็แนะนำให้ดื่มก่อนมีไข้ หยุดดื่มเมื่อมีไข้ และดื่มตามทันทีหลังไข้ลดแล้วเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง


ที่มา: อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

https://mgronline.com/daily/detail/9640000076901

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

“น้ำขิง” ผสม “น้ำผึ้ง” ประโยชน์สองต่อที่คุณคาดไม่ถึง

ประโยชน์ของน้ำขิง 

อุดมไปด้วยคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินซี, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุแคลเซียม เป็นต้น ในปัจจุบัน “ขิง” ถูกนำมาสกัดเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูปสำหรับดื่มได้อย่างสะดวก บางคนก็อาจนำขิงมาต้มเป็นเมนูน้ำขิงร้อนๆ เพื่อสุขภาพ แต่หากใครไม่ชอบกลิ่นสมุนไพรฉุนๆ ก็สามารถนำไปผสมกับน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติหอมหวานก็ได้เช่นกัน

ประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งจะช่วยบำรุงลำไส้ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณด้านอื่นๆ ที่มีผลดีต่อร่างกายอีกมากมาย ได้แก่

1.บำรุงสุขภาพหัวใจ

จากงานวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ระบุว่า ขิงมีส่วนช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดและช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตัน หรือหัวใจวายได้

2.บรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน

ขิง และน้ำผึ้งมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาอาการวิงเวียน คลื่นไส้และอาเจียน ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการเมารถ เมาเรือ หรืออาการคลื่นไส้ของหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และช่วยรักษาอาการท้องเสียได้อีกด้วย ส่วนการดื่มในเวลาปกติจะช่วยบำรุงลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ

3.ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ

ขิงและน้ำผึ้งก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอวัย ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งและบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง

4.ช่วยเพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย

การดื่มขิงผสมน้ำผึ้งเป็นประจำช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ชื่อว่า Acyl-CoA oxidase ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมหรือระบบเผาผลาญในร่างกายของเรา ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นก่อนขับออกมาในรูปของปัสสาวะ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย

5.ช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย บรรเทาความเครียด

ฤทธิ์ร้อนจากขิง และกลิ่นหอมจากขิงและน้ำผึ้ง มีส่วนช่วยให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลาย  นอกจากนี้ในน้ำผึ้งยังมีฤทธิ์ระงับประสาทอ่อนๆ ตามธรรมชาติ ช่วยคลายความวิตกกังวลและช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย

 

สำหรับท่านที่ต้องการรับประทานขิง ในวาระโอกาสต่างๆ  ปัจจุบันสามารถบริโภคขิงผงสำเร็จรูปทดแทนได้  “จินเจน” ขิงผงผสมน้ำผึ้ง    หอมหวานละมุนได้ประโยชน์จากขิงและน้ำผึ้งแท้ธรรมชาติ 

สัมผัสความหอมหวาน อร่อย กลมกล่อม ดื่มง่าย เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของขิงแก่สดคุณภาพเยี่ยมที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันในทุกๆ ขั้นตอน ตามแบบฉบับเฉพาะของจินเจน สร้างประสบการณ์การดื่มน้ำขิงไปอีกระดับ ด้วยการผสานรสชาติขิงที่ผ่านการปรุงพิเศษ และความหอมหวานของน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่ช่วยชูรสชาติของเครื่องดื่มขิงชั้นดีให้กลมกล่อม ดื่มง่าย และชุ่มคอในทุกสัมผัส เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มดื่มน้ำขิง หรือดื่มก่อนและหลัง นวดแผนไทย หรือการฝังเข็มแพทย์แผนจีน เพื่อให้เลือดลมเดินได้ดียิ่งขึ้น ดื่มเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นได้ทุกครั้งหลังมื้ออาหาร เพื่อปรับสมดุลจากภายใน หรือใช้เติมในกาแฟ หรือเครื่องดื่มแก้วโปรด เพื่อเพิ่มรสชาติ และได้ประโยชน์สะดวกเพียงฉีกซองแล้วเท

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

“ความอุ่น” ลดความวิตกกังวล ในผู้สูงอายุได้

ถ้าคุณคือหนึ่งคนที่มักมีอาการเหล่านี้ หัวใจเต้นเร็ว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสียง่าย ขี้หนาว หายใจเร็ว หรือมีอาการคล้ายเป็นลม ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดจาก “ความวิตกกังวลอย่างสูง” (Panic Disorder)  

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดความแพนิคหรือความวิตกกังวลใจนั้นได้ ก็คือ “ความอุ่น” จากอาหารหรือวิธีการเหล่านี้

1. ทานน้ำขิง หรือ น้ำอุ่น เพื่อให้อุ่นท้อง รู้สึกสบายขึ้น

2. เอาถุงร้อนมาประคบที่ท้องเมื่อรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง หรือทำก่อนนอนก็ช่วยให้หลับได้สบายขึ้น

3. ลดการทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเกินไป เช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำมะพร้าว น้ำเต้าหู น้ำผักผลไม้ปั่น หรือสาลี่ เป็นต้น

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ

5. ทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขิง ขมิ้น พริกไทย กระชายเหลือง รากผักชี กระเพรา เป็นต้น

6. ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้น

7. หากรู้สึกวิตกกังวล ลองล้างหน้าหรืออาบน้ำด้วยน้ำอุ่นดู จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้

8. หลีกเลี่ยงการเสพข่าวด้านลบ หรือเรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจ กังวลใจ

9. การสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ เป็นประจำก็ช่วยให้วาภะวิตกกังวลลดลงไปได้เช่นกัน

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ด้วยความปรารถนาดี
#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

“น้ำขิงอุ่นๆ” แก้ปวดไมเกรนได้

ขิง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale Roscoe. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก ขิงนอกจากจะเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ และอีกมากมายแล้ว ยังมีการศึกษาวิจัยล่าสุดในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในการใช้ขิงรักษาอาการปวดไมเกรนอีกด้วย

โดยทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีระยะการเป็นไมเกรนมาประมาณ 7 ปี มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างการให้แคปซูลขิง 250 มิลลิกรัม กับยาแผนปัจจุบันชื่อ “ซูมาทริปแทน” ขนาด 50 มิลลิกรัม เมื่อมีอาการปวดไมเกรน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน คือ สามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และพบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบัน คือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ในขณะที่ยาซูมาทริปแทน มักทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ง่วงนอน อาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) 

การที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostiglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบ ซึ่งยังมีข้อมูลในการใช้ขิงในการบรรเทาอาการปวดข้อมาก่อนหน้านี้ อีกทั้ง ขิงยังมีสรรพคุณในการแก้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ซึ่งอาการดังกล่าวมักพบว่าเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการปวดไมเกรน จึงถือได้ว่าขิงเป็นสมุนไพรอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยไมเกรน และหากใครชื่นชอบการดื่มน้ำขิงอยู่แล้ว ก็สามารถจิบน้ำขิงอุ่นๆ เวลาปวดไมเกรนได้เช่นกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: คมชัดลึก

ภาพจาก: Canva

#ด้วยความห่วงใย

#ขิงผงสำเร็จรูป #จินเจน

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ช้อปจินเจนออนไลน์ได้ที่ shop.gingen.com

จินเจน สูตรไหนเหมาะกับคุณ!!

น้ำขิงจินเจนมีหลากหลายสูตร

แต่ละสูตรจะมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร❓

เราควรทานสูตรไหนนะ❓

วันนี้จินเจนมีคำตอบ

 

————————

ซื้อจินเจนได้ที่ห้างใกล้บ้านคุณ

สั่งออนไลน์ได้ที่👉 shop.gingen.com

————————

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ชงดื่มดีมีประโยชน์

#ปรุงอาหารก็อร่อย

ประโยชน์ของการกินเจ

คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย

 

ช่วงเวลาเทศกาลกินเจ

ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน

เทศกาลกินเจปี 2564 ปีนี้ตรงกับ ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม – 14 ตุลาคม 2564 รวมเป็นเวลา 9 วัน ซึ่งบางท่านอาจจะล้างท้องวันที่ 5 ตุลาคม เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคยกับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น รวมเป็น 10 วัน

ประโยชน์ของการกินเจ?

  1. กินเจ ทำให้สุขภาพดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหารชีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน” และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย
  2. กินเจ ได้ทำบุญ เนื่องจากได้ชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น
  3. กินเจ ทำให้ได้ละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค หากเราทราบว่าการงดบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น


นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ห้ามกินอะไรบ้าง?

  1. ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
  2. นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
  3. อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
  4. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  5. ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น


อาหารที่ทานได้ระหว่างกินเจ

  1. ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
  2. วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
  3. ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
  4. พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
  5. ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
  6. มาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)
  7. แต่งหน้า และฉีดน้ำหอม (สำหรับคนถือศีล 5 หากถือศีล 8 จะทำไม่ได้)

การกินเจอาจจะดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนชอบทานเนื้อสัตว์ แต่ถ้าได้ลองกินเจแล้ว หลายคนก็ติดใจเนื่องจากจะได้สุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ก็ยังอิ่มบุญอิ่มใจจากการถือศีลอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส. , Sanook.com

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com


ด้วยความปรารถนาดี
#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

8 เคล็ดลับ!! รับมือกับ “ความเครียด”

“ความเครียด” เป็นหนึ่งสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ทั้งสุขภาพของร่างกาย และสุขภาพของจิตใจ

หากเราเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในภาวะเครียด หรือกำลังมีเรื่องกังวลทำให้ทุกข์ใจอยู่ ควรหาวิธีผ่อนคลาย ลดความเครียดเหล่านั้นลง เพื่อสร้างกำลังใจ ให้กลับมาสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างมีสติได้ต่อไป

วันนี้เรามี 8 เคล็ดลับ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อรับมือกับความเครียดมาฝากกันค่ะ

1. หายใจลึกๆ เป็นขั้นตอนแรกๆที่แนะนำให้ทำ เพราะการหายใจเข้าลึกเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียกสติกลับมาให้อยู่กับลมหายใจ และตั้งรับกับปัญหาได้ขึ้น
2. ยืดเส้นยืดสายเบาๆ อีกหนึ่งวิธีลดความตึงเครียดที่หลายคนใช้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากปัญหาที่กำลังคิดวนอยู่ ไปอยู่กับเรื่องอื่น โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ที่ได้ออกแรง เรียกเหงื่อ ซึ่งจะช่วยให้สารอะดรีนาลีนหลั่งมามากขึ้น ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น และพร้อมกลับมาจัดการกับปัญหาต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
3. จิบน้ำหรือน้ำขิงอุ่นๆ ว่ากันว่าหนึ่งในสรรพคุณของน้ำขิง ก็คือช่วยในการผ่อนคลาย อุ่นท้อง ปรับสมดุลในร่างกาย เมื่อสมองและร่างกายผ่อนคลายขึ้น ก็เป็นการช่วยลดความเครียดลงได้นั่นเอง
4. ฟังเพลง / ฮัมเพลงที่ชอบ  ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับลดความเครียด ด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงที่เราชอบให้เพลินๆไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหากันใหม่ แบบนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
5. หลับตาสักพัก หรือจริงๆก็งีบสักพักก็ได้นะคะ ลองปิดรับข้อมูลจากทุกช่องทางประสาทสัมผัสสักครู่ ก็จะเป็นการพักจากปัญหา ชาร์จพลัง แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่กันค่ะ
6. นึกถึงเรื่องขำ ๆ ที่ทำให้หัวเราะได้  ข้อนี้ถ้าใครนึกเรื่องขำๆไม่ค่อยออก ก็แนะนำลองเปิดดูคลิปตลก หรือคลิปที่เคยทำให้เราหัวเราะได้มาดูอีกที ได้หัวเราะบ้างในช่วงที่เครียดๆ ก
ช่วยผ่อนคลายได้ดีเหมือนกันนะคะ
7. คุยกับใครสักคนที่ไว้ใจ  เรื่องเครียดบางเรื่อง เราอาจจะแก้ปัญหาไม่ออกด้วยตัวเราเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ แต่การได้พูดคุย ได้ระบายกับใครสักคนที่เราไว้ใจ ก็สามารถช่วยให้เรื่องที่อัดแน่นอยู่ในความคิดตอนนั้น ค่อยคลี่คลายออกมาก็ได้ และบางที เราก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ หรือทางออกของปัญหาจากคนที่เราคุยด้วยก็ได้นะคะ
8. ทำใจยอมรับแล้วมันจะผ่านไป  เคล็ดลับข้อสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าเรากำลังแบกรับเรื่องอะไรอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีความเครียดมากน้อยเพียงใด ให้เข้าใจว่า มันก็จะมีทางออกของมันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องตั้งสติ ไม่คิดอะไรที่ไม่ดี ที่จะเป็นการสร้างปัญหาที่มากขึ้น แล้วเวลาก็จะทำให้เรื่องนั้นๆมันก็จะผ่านไปได้

ขอให้อดทน คิดดี ทำดีเอาไว้ แล้วเราจะผ่านเรื่องๆร้ายๆไปด้วยกันะคะ

 

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ประโยชน์ของ “ขิง” ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ระบุว่า ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol, Shogoal และ Paradoal โดยพบว่า ขิงสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ สารในขิงบางตัว ยังทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ขิงก็ยังเป็นสมุนไพรที่ดีและมีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ โดยฤทธิ์ร้อนของขิงจะไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังมีบางรายงานการศึกษายังระบุเพิ่มเติมว่าขิงสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย ในทางการแพทย์แผนไทยฤทธิ์ร้อนจากขิงสามารถช่วยลดการกำเริบของเสมหะและลม ซึ่งจะพบในโรคหวัด ไอ หอบหืด ตำรับน้ำขิงแก้หวัดแก้ไอจึงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย

เราสามารถนำขิงมาต้มน้ำ ทำเป็นน้ำขิงสำหรับดื่ม หรือ อาจจะนำขิงไปผัดคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น ปลาผัดขิง ก็จะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น

ในปัจจุบัน เพื่อลดความยุ่งยากในการหาขิงสดมาปรุงอาหาร หรือต้มดื่ม และปัญหาของการเก็บรักษาขิงสดไว้เป็นระยะเวลานานไม่ได้ จึงมีผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปมาทดแทน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปที่สกัดจากขิงธรรมชาติแท้ 100% รวมถึงมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อความมั่นใจถึงคุณภาพและสรรพคุณของขิงที่ยังคงไว้อย่างครบถ้วน

ผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปตราจินเจนอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 40 ปี  ซื้อสินค้าจินเจนทางออนไลน์ได้ที่ https://shop.gingen.com