ลดความเครียดด้วย “น้ำขิง”

จากหลายผลวิจัยบอกว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ แค่เครียดก็แย่แล้วยังจะต้องเจ็บป่วยเพราะความเครียดที่สะสมนานๆก็คงไม่ไหวนะคะ

การรับมือความเครียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลง หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย แต่ วันนี้ขอเสนออีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆสำหรับลดความเครียดมาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือ การดื่มน้ำขิง นั่นเเอง 

ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง

ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่ หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกันนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

6 เคล็ดลับ สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

สำหรับหลายคน บ้านเป็นที่ชาร์จพลังกายและพลังใจอย่างดี แต่บ้านก็ไม่ได้หมายถึงสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคนที่อยู่ที่บ้านหรือครอบครัวของเราด้วย

ครอบครัวที่แบ่งปันความรักและความห่วงใยให้กันและกันนั้น จะทำให้เกิดความสุขขึ้นในบ้าน และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากรู้เราวิธีสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น  เรามาดู 6 เคล็ดลับ ที่จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวให้รักและใกล้ชิดกันมากขึ้นกันค่ะ

1. อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลายครอบครัวมักละเลยตรงจุดนี้ จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวระดับรุนแรง แนะนำให้หาเวลาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มากขึ้น จัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนในครอบครัวได้มีส่วนร่วมในทุกๆ สัปดาห์ บ้านจะน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นกองเลย รับรองได้

2. แสดงออกถึงความรัก
หลายคนอาย เขิน และไม่กล้าบอกรักให้คนในครอบครัวฟัง หรือ หลายคนเลือกไม่กอดกัน เพราะอ้างว่าแสดงออกไม่เป็น แต่รู้หรือไม่การที่ได้กอดและบอกรักคนในครอบครัวนั้น มันดีต่อใจและช่วยกระตุ้นความสุขให้กับคนที่ได้รับแรงกอดและคำพูดเหล่านั้นอย่างแท้จริง

3. สื่อสารบ่อยๆ กระชับกความสัมพันธ์
สื่อสารในที่นี้ ไม่ใช่การเถียงหรือตะโกนใส่กัน แต่คือการพูดด้วยภาษาที่นุ่มนวล อบอุ่น และแสดงออกถึงความห่วงใย เช่น กลับมาเหนื่อยๆ กินน้ำก่อนไหม ไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินข้าวกัน โดยความจริงใจจากคำพูดที่มอบให้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข และลดความตึงเครียดภายในที่เกิดขึ้นได้

4. วันสำคัญอย่าลืมกัน
มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า วันสำคัญของคนในครอบครัว เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเทศกาลต่างๆ เป็นวันที่เชื่อมร้อยความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การจัดงานเล็กๆ ภายในบ้าน การไปกินข้าวพร้อมกัน หรือการมอบขวัญสุดพิเศษให้คนในครอบครัวที่คุณใส่ใจ เป็นการผูกมัดสายใยความสัมพันธ์ให้กลมเกลียวมากขึ้น

5. อย่าเพ่งโทษกัน
การอธิบายด้วยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ครอบครัวฟังและเข้าใจกันมากขึ้น และยามเกิดปัญหา อย่านำพาตัวเองไปติดกับดักอารมณ์ ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการกระทำหรือคำพูด เพราะมันจะทำให้เกิดภาพลบ และส่งผลไม่ดีลงต่อชีวิตครอบครัวของคุณเอง เวลาเกิดปัญหา อย่าเกี่ยงกันว่าใครผิด ใครถูก เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ให้แก้ไขและหาทางออกร่วมกัน สื่อสารกันอย่างละมุนละม่อม โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นเด็ก ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

6. ความเสมอภาคคือคุณภาพ
การพิจารณาคนในครอบครัวแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกข้างหรือโน้มเอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพราะการไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้คนในครอบครัวทุกคนเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฟังและยอมรับความคิดเห็นระหว่างกันมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Bewellstyle.com

การเลี้ยงสัตว์ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?

สัตว์เลี้ยงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ลองใช้เวลาซัก 2-3 นาที นั่งดูตู้ปลากับสุนัขหรือแมวของคุณดู ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย และมันสามารถช่วยลดความเครียดของคุณลงได้

ช่วยลดความดันโลหิต

คนที่มีปัญหาความดันเลือดสูง อาจจะกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่รู้ไหมว่าการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความดันเลือดได้นะ จากการศึกษาพบว่าในคู่สามีภรรยาทั้งหมด 240 คู่นั้น คู่สามีภรรยาที่เลี้ยงสัตว์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจและระดับของความดันโลหิตในภาวะปกติต่ำกว่าคู่ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และมีอีกการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อได้รับสัตว์มาเลี้ยงแล้ว ค่าคามดันโลหิตของพวกเขากลับลดลง

ช่วยให้ระดับคลอเรสเตอรอลต่ำลง

คนส่วนใหญ่มักจะควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลด้วยการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก และสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยแล้ว การควบคุมระดับคลอเรสเตอรอสก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น มีผลวิจัยออกมาว่าผู้คนที่เลี้ยงสัตว์จะมีระดับของคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยง แต่เหตุผลนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นไปได้ว่ากิจกรรมในการใช้ชีวิตของผู้คนที่เลี้ยงสัตว์นั้นมีมากกว่า เช่นต้องพาสัตว์เลี้ยงไปจูงเดิน หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

ทำให้หัวใจแข็งแรง

จากการศึกษาใน 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขหรือแมว มีอัตราการตายด้วยภาวะหัวใจวายมากกว่าคนที่เลี้ยงถึง 40%

ช่วยลดอาการซึมเศร้า

คำกล่าวที่ว่าสุนัขหรือแมวรักคุณโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น เป็นจริงเสมอ และพวกเขายังสามารถช่วยปลอบคุณเวลาคุณรู้สึกซึมเศร้าได้อีกด้วย เชื่อไหมว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถฟังคุณพูดระบายความรู้สึกได้เป็นวันๆ เลยหล่ะ พวกเขาเป็นนักฟังที่ดี และจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ซึ่งบางทีในเวลาที่คุณแปรงขนให้กับเขา เล่นกับเขา หรือพาเขาไปจูงเดิน คุณสามารถพูดระบายสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

กระตุ้นการออกกำลังกายของคุณ

การเดินวันละ 30 นาทีของคุณจะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เพราะการจูงสุนัขเดิน 15 นาทีตอนเช้าและตอนเย็น จะทำให้คุณสนุกกับการเดินมากขึ้น หรือแม้แต่การเล่นกับเจ้าตูบที่สนามหน้าบ้าน ก็จะทำให้คุณได้มีกิจกรรมออกกำลังกายมากขึ้นเช่นกัน

เป็นคู่หูในการออกกำลังกายชั้นยอด

เคยไหม? เวลาเราอยากออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานในตอนเช้า แล้วชวนคนในบ้านไปด้วย เรามักจะได้รับคำปฏิเสธอยู่เสมอ แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นไม่เคยบ่นหรือปฏิเสธเวลาคุณชวนพวกมัน สัตว์เลี้ยงพร้อมจะไปเดินหรือเล่นกับคุณเสมอ

สาร GINGEROL ในขิง ดีต่อสุขภาพยังไง?

 ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารหลายชนิด  เครื่องหอมต่าง ๆ และใช้ผสมในยาเพื่อบรรเทาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ เช่น แก้ท้องอืด, ขับลม, แก้คลื่นไส้อาเจียน, ใช้ทำยาแก้คันหรือลดอาการฟกช้ำต่าง ๆ  ในส่วนน้ำมันของขิงมีจะรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนและมีสรรพคุณรักษาต่าง ๆ เช่นกัน ดังนั้นขิงจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าขิงมีฤทธิ์ในการรักษาอาการต่าง ๆ  ในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการวิเคราะห์ว่าภายในขิงนั้นประกอบด้วยสารสำคัญอะไรบ้าง

        เมื่อนำขิงมาสกัดจะพบว่าสารสกัดขิงประกอบด้วย Gingerol ซึ่งเป็นสาร Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ในกลุ่มของสารฟีนอล ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นรสเผ็ดฉุนและมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและยับยั้งอาการปวดได้ สารกลุ่มแอนโทไซยานินมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), สารต้านอาการอักเสบ และรวมถึงสารต้านมะเร็งด้วย ดังนั้นสารกลุ่มแอนโทไซยานินจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ และถ้าหากศึกษาสาร Gingerol ในขิงซึ่งเป็นหนึ่งในสารกลุ่มแอนโทไซยานินแล้ว ก็จะพบว่า Gingerol นั้นก็มีประโยชน์ทางเภสัชศาสตร์ต่อร่างกายเช่นกัน เช่น

ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง – สาร Gingerol มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic) ต่อเซลล์มะเร็ง โดยนักวิจัยได้ทดลองเลี้ยงเซลล์มะเร็ง 3 ชนิดและหยดสาร Gingerol ที่ระดับต่าง ๆ จึงพบว่าเซลล์มะเร็งเหล่านั้นลดลงหรือถูกทำลายไป ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าสารสกัด gingerol จะนำมาพัฒนาต่อเป็นยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้

เป็นสารป้องกันการก่อมะเร็ง (chemo-preventive agents) – สาร Gingerol ในขิงสามารถลดการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอดได้ นอกจากนี้ยังไปลดอาการอักเสบเรื้อรัง รวมถึงต้านการสร้างเส้นเลือดใหม่ในเซลล์มะเร็ง (Angiogenesis) ได้

ช่วยการทำงานของไต – สาร Gingerol สามารถช่วยส่งเสริมให้ไตทำงานได้ดีขึ้น โดยสาร Gingerol จะไปลด Lipid peroxidation ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจเป็นอันตรายต่อไตได้

        นอกจากสาร Gingerol ในกลุ่ม Anthocyanin ของขิงนั้น ในขิงยังมีสาระสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ หรืออาการเมารถได้ โดยสาร gingerol และ Shogaol ของขิงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำตาลและเพื่อความตึงตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร  จากการทดลองและงานวิจัยมากมายในด้านเภสัชศาสตร์ของสารสกัดขิง ทั้ง Gingerol และ Shogaol  นั้นจะเห็นได้ว่าสารสกัดขิงนั้นมีประโยชน์มากมายและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้สารสกัดขิงยังเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่มีสารพิษเจือปน จึงสามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ในระยะยาว

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ข้อดีของการ “นั่งสมาธิก่อนนอน”

ข้อดีของการทำสมาธิก่อนนอน

ความเครียดและความเร่งรีบในชีวิตประจำวันอาจทำให้เราเกิดความวิตกกังวลในใจ ถึงแม้อาการจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่เมื่อถึงเวลานอน หลายคนกลับพบว่าตัวเองหลับยาก ใจไม่สงบจนนอนไม่หลับ ทำให้นอนไม่พอ สมาธิสั้น และสุขภาพจิตย่ำแย่ การนั่งสมาธิก่อนนอนก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้นและหลับสนิทได้อย่างที่หลายท่านทราบกันดีอยู่แล้ว

แต่นอกจากนั้น การนั่งสมาธิก่อนนอนยังมีประโยชน์อีกหลายด้านสำหรับเรานะคะ ทั้งด้านร่างกาย สุขภาพ และอารมณ์ ดังนี้ค่ะ

– ช่วยลดอาการปวดศีรษะจากความเครียด

– ช่วยลดความเศร้าและความวิตกกังวล

– ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของร่างกาย

– ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบช่วงวัยหมดประจำเดือน

– ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

– ทำให้เรามีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้น

– ทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต

– ทำให้เกิดจินตนาการและยกระดับความคิดสร้างสรรค์

– เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำงาน

การทำสมาธิมีความปลอดภัย สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่สำหรับผู้ป่วยบางโรคไม่ควรใช้การทำสมาธิเพื่อรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้เป็นตัวช่วยเสริมจากการรักษาตามปกติจะดีกว่านะคะ เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาก่อนจากนั้นจึงใช้วิธีทำสมาธิมาช่วยบรรเทาอาการทางร่างกายและจิตใจค่ะ 

เห็นไหมคะว่าการทำสมาธิมีประโยชน์หลากหลาย ขอแค่เราฝึกเป็นประจำอย่างน้อยว่าละ 3-5 นาที จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าเห็นผลและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์แน่นอนค่ะ

#ข้อดีของการนั่งสมาธิก่อนนอน

#ด้วยความห่วงใย

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

ซื้อจินเจนได้ที่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านคุณ

หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ https://shop.gingen.com

5 วิธีกินขิง เพิ่มการเผาผลาญกับอาหารมื้อเช้า

ขิงเป็นสมุนไพรที่เรากินบ่อยกับโจ๊กหรือข้าวต้ม หรือนำไปดองกินกับเป็ดย่างหรือไส้กรอกอีสาน นอกจากจะทำให้อาหารรสชาติดีมีกลิ่นหอมแล้ว ขิงยังจัดว่าเป็นอาหารซุปเปอร์ฟู้ดที่ดีกับสุขภาพหลายด้าน ซึ่ง  วิธีกินขิงเพิ่มเผาผลาญ กับอาหารมื้อเช้า  ช่วยเสริมการคุมน้ำหนักให้ง่ายขึ้น อีกทั้งมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้ามีขิงผสมอยู่ก็จะทำให้มื้อแรกของคุณมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่การที่คุณจะกินข้าวต้มหรือโจ๊กใส่ขิงทุกวันมันก็น่าเบื่อ เรามีวิธีกินขิงแบบง่ายๆ ไม่จำเจมาฝาก

  1. ขิง&กาแฟ

กาแฟอุดมมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอลที่ช่วยชะลอวัย ถ้าคุณดื่มในปริมาณที่พอดี ทั้งลดความเหนื่อยล้า ทำให้ตื่นตัวและช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟในตอนเช้าลองเติมขิงลงไปสักนิดไม่เกิน 1 ช้อนชา คุณจะได้กาแฟขิงที่มีรสเผ็ดนิดๆ ซึ่งดีกับระบบย่อย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

  1. ชาขิง&มะนาว&น้ำผึ้ง

  หากคุณไม่ใช่คอกาแฟแต่อยากจะเพิ่มการเผาผลาญด้วยขิงก็ลองชาขิงสูตรนี้ โดยการนำขิงสดหั่นแว่นสัก 5-6 แว่นใส่ลงในน้ำต้มเดือด 1 ถ้วยปิดฝา 15-20 นาที กรองกากดื่มแต่น้ำหรือจะใช้ขิงผง 100% แทนก็ได้ค่าเพื่อความสะดวก เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะแล้วแต่ชอบ ดื่มหลังอาหารเช้า คุณจะรู้สึกสดชื่น อิ่มเร็ว ทั้งยังไปกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น ใครที่มีไขมันพุงหนาก็ห้ามพลาด

  1. ขิง&กราโนล่า

สำหรับคนที่เป็นสายสุขภาพทั้งกาโนล่ามักถูกเลือกให้เป็นอาหารเช้าของคุณบ่อยๆ เพื่อควบคุมน้ำหนักละก็ลองขูดขิงสดขนาด 1 นิ้วลงในชามกาโนล่า นอกจากจะได้กลิ่นที่หอมของขิงผสมรสเผ็ดนิดๆ แล้ว คุณยังได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเจ้ากาโนล่าอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ มีกากใยสูง ช่วยให้การขับถ่ายคล่อง บำรุงผิวพรรณ ส่วนขิงก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ เร่งเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายแถมผิวสวยเปล่งปลั่งได้อีก ถ้าหากคุณไม่มีขิงสดใช้ขิงผง 1 ช้อนชาแทนก็ได้นะคะ 

  1. ขิง&สมูทตี้

มาที่สมูทตี้เครื่องดื่มสุขภาพอีกอย่าง ซึ่งหลายคนนิยมปั่นผักผลไม้เพิ่มโปรตีนดื่มกันในช่วงเช้า ซึ่งประโยชน์ของเจ้าสมูทตี้ก็แล้วแต่สูตรว่า คุณต้องการให้ร่างกายได้อะไรในแต่ละวัน ลองเพิ่มขิงสดหรือจะใช้น้ำขิงลงไปปั่นด้วย ถ้าไม่มีอีกก็ขิงผง 1 ช้อนชาแทน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การเผาผลาญให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย ลดอาการปวดประจำเดือนของมนุษย์เมนส์ลงได้

  1. ขิง&ข้าวโอ๊ต

 หลายคนเลือกข้าวโอ๊ตเป็นอาหารมื้อเช้าในการควบคุมน้ำหนัก เพราะให้พลังงานสูงแต่ไขมันต่ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มนานและเหมาะสำหรับคนที่แพ้กลูเตนแล้ว ข้าวโอ๊ตยังช่วยลดโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ไฟเบอร์สูงทำให้การขับถ่ายดี หากข้าวโอ๊ตเป็นเมนูอาหารเช้าของคุณ ลองเติมขิงผงสัก 1 ช้อนชา หรือขิงสดขนาด 1 นิ้วขูดลงไปสักหน่อย เค้าจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายของคุณ ลดพุงลดรอบเอวไม่ยากเลย

     สำหรับวิธีกินขิงในมื้อเช้า คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการและจะให้ได้ผลดีที่สุดควรออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

8 วิธี ลดไขมันในเส้นเลือด

8 วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง ได้ผลแน่นอน!!

ไขมันในเลือดสูง เป็นโรคที่พบได้ทั้งในวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว และนี่คือ วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ

1.ควรได้รับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน

โดยปกติแล้วคนเราไม่ควรได้รับคอเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงมักพบในเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่นกกระทา หอยนางรม ปลาหมึก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหรือควรทานในปริมาณที่จำกัด

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว

ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ไขมันสูง อย่าง หมูสามชั้น สันคอหมู ขาหมูติดมัน หนังไก่ เบคอน แฮม ไส้กรอก ควรรับประทานเนื้อสัตว์มีไขมันอิ่มตัวน้อยอย่าง ปลาและอกไก่ และควรงดอาหารจำพวกกะทิเพราะจะมีไขมันอิ่มตัวสูง

3.รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง

ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง เช่น แอปเปิ้ล แก้วมังกร ฝรั่ง ชมพู่ ส้ม มะละกอ เพราะในอาหารเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมากซึ่งจะช่วยดูดซึมไขมันให้ลดน้อยลง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี

ควรรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยกรดโอเลอิกจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง พิสตาชิโอ ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก

5.ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง

ควรหันมาดื่มนมไขมันต่ำ เช่น พร่องมันเนย นมขาดมันเนย หรือ โยเกิร์ตไขมันต่ำ อีกทั้งนมธัญพืชยังเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพราะมีไขมันชนิดดีช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดีได้ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง นมข้าว

6.ควบคุมน้ำหนัก

ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ซึ่งควรอยู่ระหว่าง 18.5 – 22.9 กก./ เมตร2 หากน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ควรลดอาหารประเภทแป้งแล้วหันมาทานผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น

7.ออกกำลังกายเป็นประจำ

ควรหมั่นออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ก็จะช่วยเผาผลาญไขมันทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น ที่สำคัญไม่ควรหยุดออกกำลังกายติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำให้เกิดความขี้เกียจและเลิกออกกำลังกายในที่สุด

8.เลิกสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อหยุดสูบบุหรี่และเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ไขมันชนิดดีในร่างกายเพิ่มมากขึ้น และไขมันในเลือดชนิดไม่ดี (LDL) ลดน้อยลงอีกด้วย

“ขิง” ของจริงที่กล้าขิง!

ถ้าวัยรุ่นยุคนี้เค้าคุยโวกันเค้าก็ว่า “คุยขิงกัน” ขอเอา “ขิงตัวจริง” มาคุยขิงให้อ่านกันนิดนึงนะคะ ^^

อย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่า “ขิง” เป็นสมุนไพรที่มีมายาวนาน เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในสีขาว หรือเหลืองอ่อน ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น เรียกว่าใช้ได้ทุกส่วนเลยก็ว่าได้ ขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ซึ่งคุณประโยชน์ของของนั้นมีมากมาย ก.ไก่หลายตัวมากกกก เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าสรรพคุณเด่นๆของขิงจะมีอะไรบ้าง

รักษาโรคหวัด

นำขิงสดมาฝนกับน้ำเลมอนให้ได้น้ำข้นๆ ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ทานครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง

ลดระดับความดันโลหิต

ฝานขิงสดบางๆ ต้มกับน้ำดื่มพอประมาณ ดื่มทุกวัน จะช่วยรักษาอาการความดันโลหิตสูงได้

บรรเทาอาการไข้สูง

นำขิงสดมาคั้นให้ได้น้ำ 1/2 ถ้วย ผสมกับน้ำอุ่น และน้ำผึ้ง จิบบ่อย ๆ ไข้จะค่อย ๆ ลดลง

ดับกลิ่นในช่องปาก

นำขิงมาคั้นแล้วผสมกับน้ำอุ่น ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย นำมาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี และช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วย

บรรเทาอาการไมเกรน

ทานขิงในช่วงที่อาการปวดไมเกรนกำลังเข้าสู่ช่วงกำเริบนั้น ทำให้อาการปวดลดลง โดยน้ำขิงสดและน้ำตาลทรายแดงมาต้มเป็นน้ำขิงดื่ม เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว

เห็นไหมคะว่าสรรพคุณขิงไม่ธรรมดาจริง ๆ ใครยังไม่เคยลองแนะนำให้เปิดใจ มีขิงติดบ้านไว้รับรองอุ่นใจ แล้วจะรู้ว่าไม่ได้ขิงจริงๆนะ ^^

10 พืชผักสมุนไพร สร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค

ก่อนจะไปดูว่า 10 พืชผักสมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค นั้นมีอะไรบ้าง  เราขอพามารู้จักคุณค่าของผักจากสีทั้ง 5 กลุ่มกันก่อนนะคะ

1. สีเขียว จะให้สารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน และช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนวัย นอกจากนี้การกินผักใบเขียวเป็นประจำจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีอีกด้วยค่ะ

2. สีเหลือง/ส้ม   ผักกลุ่มสีนี้ให้สารลูทีน และ เบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจดวงน้อยๆ ของเรา และรักษาดูแลหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปจนถึงบำรุงสายตา

3. สีแดง มีสารไลโคปีน และ เบตาไซซีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า โดยสารไลโคปีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และผักสีแดงยังอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงอีกด้วย

4. สีม่วง/น้ำเงิน   มีสารแอนโทไซยานิน กลุ่มนี้ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้สามารถยับยั้งเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

5. สีขาว/น้ำตาลอ่อน   ประกอบไปด้วยสารแซนโทน ช่วยลดอาการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีกรดไซแนปติก และ อัลลิซิน โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันว่า พืชผักสมุนไพรตัวท๊อปๆในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในแต่ละกลุ่มนั้นมีอะไรกันบ้าง

พลูคาว หรือผักคาวตอง ผักท้องถิ่นของประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยด้วย นิยมรับประทานใบสดแกล้มอาหาร โดยเฉพาะอาหารเหนือและอีสาน เช่น ลาบ ก้อยหรือแจ่ว ขณะเดียวกันก็นิยมใช้เป็นสมุนไพรทางยามาอย่างยาวนานแล้ว อาทิ รักษาการอักเสบต่างๆ  รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจต่างๆ   อีกทั้งในปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยถึงสรรพคุณของพลูคาวพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลิก ที่นอกจากมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้ว ยังพบฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส ทั้งทางตรง และทางอ้อม

มะกรูด สมุนไพรที่หลายบ้านนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารนั้น มีสรรพคุณทางยาในการต้านทานโรคมากมาย ทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง   และหากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดก็มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเครียด คลายความกังวล นอกจากนี้สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด จากนั้นแช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง

ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ มีสารอาหารที่ดีมากมายสำหรับร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแตสเซียม ทองแดง และวิตามินบี 6 ซึ่งขิงนั้นช่วยป้องกันอาการอักเสบในระบบร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ขิงยังช่วยแก้พิษ ลดบวม ขับลม ซึ่งมีงานวิจัยยุคปัจจุบันที่รองรับสรรพคุณว่าขิงสามารถลดอาการไข้หวัดได้อีกด้วย

ไพล สมุนไพรไทยอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และใบของไพลสามารถรักษาอาการหวัดให้ดีขึ้น ส่วนในร่างที่ปวดเมื่อยตามตัว  สามารถใช้ไพลเป็นสมุนไพรทางเลือกเพื่อลดอาการปวดได้ โดยไพลมักจะนำมารักษาในรูปแบบน้ำมันหอมระเหย เพื่อลดการอักเสบต่างๆ

ใบบัวบก   เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น นิยมรับประทานด้วยการนำมาต้มเป็นน้ำ มีฤทธิ์ลดการอักเสบในช่องปาก ลดการบวม แก้อาการช้ำใน และลดการอักเสบที่ผิวหนังได้ด้วย เพราะมีสาร asiaticoside ที่ช่วยสมานแผลผิวหนัง ทั้งยังมีสรรพคุณมากมาย ทั้งลดความดัน ลดความเครียด บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นอีกด้วย

ผักแพว ผักที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีกลิ่นหอมฉุน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยในการชะลอวัย อีกทั้งใบผักแพวยังช่วยขับเหงื่อ ทำให้เลือดลมดี และป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย หลายๆ คนนิยมใช้เป็นเครื่องเคียง ในแหนมเนือง

ฝักเพกา เป็นผักที่นิยมจิ้มกินกับน้ำพริก ลักษณะเป็นฝักสีเขียวยาวประมาณ 1 ศอก และในทางการแพทย์ระบุว่าฝักเพกามีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่ได้จากเปลือกต้นเพกา มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ การแพ้  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอการเสื่อมของเซล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อีกด้วย

ผักเชียงดา พืชผักที่ได้รับความนิยมในการใช้ลดน้ำตาลในเลือด เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ มีชื่อเรียกอย่างหลากหลาย อาทิ ผักเซี่ยงดา เซ่งดา เจียงดา ผักกูด เป็นต้น ส่วนภาคกลางจะเรียกกันว่า ผักจินดา โดยข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีวิตามินซีสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

ผักคะน้า เป็นผักใบเขียวที่มีวิตามินซีสูงถึง 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม หาซื้อง่าย แถมนำมาทำอาหารก็ไม่ยุ่งยาก ส่วนสรรพคุณ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ และเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ อีกทั้งวิตามินซีในผักคะน้ายังช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ด้วยการเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

มะรุม  พืชผักพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซี141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี โปรตีน หรือธาตุเหล็ก โดยประโยชน์ของมะรุม ก็มีทั้งรักษาอาการหวัด ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด บรรเทาอาการปวดตามข้อ  บำรุงร่างกาย สายตา ผิวพรรณ และต่อต้านมะเร็ง แต่ในผู้ป่วยโรคเลือด หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทานมะรุมมากเกินไป เพราะจะส่งให้โรครุนแรงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Goldenland.co.th

อ้างอิง

https://bit.ly/3aikWuY
https://amprohealth.com/herb/gotukola/

https://medthai.com/
https://siamrath.co.th/n/141001

5 โรคมะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีลักษณะเฉพาะและต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากวัยเยาว์ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ วัยผู้ใหญ่ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ดูธรรมดาอาจเป็นสัญญานของโรคร้ายบางอย่างได้หากไม่รู้เท่าทัน

สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงนั้น รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ชนิดของมะเร็งที่พบผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การรู้จักกับโรคมะเร็งเหล่านี้และรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคได้อย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมาก

มะเร็งเต้านม

เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยความเสี่ยงต่อโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานาน เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และการใช้ชีวิตในแบบที่ทำลายสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย หรือการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงควรสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคมะเร็งเต้านมและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคลำพบก้อนในเต้านมหรือใต้แขน บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม และมีอาการปวดบริเวณเต้านม

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเต้านม

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวนด์ทุก 1-2 ปี

มะเร็งปากมดลูก

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง โดยเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ได้แก่ ช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ รวมถึงการมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้น หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว บางรายมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นผิดปกติ เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกจึงหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกภายใน 3 ปีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปโดยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปีควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้หญิง โดยปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยถูกตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน มีประวัติเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูงและไม่ค่อยรับประทานผัก ผลไม้

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะต้นๆ มักไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งโรคพัฒนาขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกถ่ายไม่หมด ปวดมวนท้องไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปน ลักษณะอุจจาระเล็กเรียวยาวกว่าปกติ รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีภาวะโลหิตจาง

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือวิธีอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 50 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เริ่มมีอายุน้อยลง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองเร็วขึ้นคือเริ่มที่อายุ 40 ปี

มะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นมากในอันดับที่ 4 โดยไม่เพียงเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากคือกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตรวจพบโรคเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่มีอัตราการอยู่รอดห้าปีไม่ถึงร้อยละ 5

เราทราบกันดีว่าสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สัมผัสควันบุหรี่ (second-hand smoking) และผู้ที่เคยรับสารพิษจากการสูดดมเมื่ออายุน้อยๆ ซึ่งอาการของโรคจะปรากฎเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะที่ 3-4 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมะเร็งเกิดที่หลอดลมก็จะมีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอมีเลือดปน

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปอด

หากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เลิกสูบมาไม่เกิน 15 ปี มีบุคคลในครอบครัวสูบบุหรี่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับมลภาวะและสารพิษต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dose computerized tomography หรือ low-dose CT) ซึ่งใช้ปริมาณรังสีน้อยแต่ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงเช่นเดียวกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจจึงมีความปลอดภัยและแม่นยำ

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย โดยสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นผู้หญิงที่มีบุตรน้อยหรือไม่มีบุตร มีประจำเดือนต่อเนื่องแม้จะถึงวัยที่ควรหมดประจำเดือนแล้ว มีภาวะฮอร์โมนผันผวน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้มากขึ้น

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติจึงจำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์หรือใช้วิธีเก็บเซลล์จากโพรงมดลูกไปตรวจ หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางปากมดลูกเพื่อตรวจโพรงมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือมะเร็งหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์