5 โรคมะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีลักษณะเฉพาะและต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากวัยเยาว์ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ วัยผู้ใหญ่ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ดูธรรมดาอาจเป็นสัญญานของโรคร้ายบางอย่างได้หากไม่รู้เท่าทัน

สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงนั้น รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ชนิดของมะเร็งที่พบผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การรู้จักกับโรคมะเร็งเหล่านี้และรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคได้อย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมาก

มะเร็งเต้านม

เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยความเสี่ยงต่อโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานาน เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และการใช้ชีวิตในแบบที่ทำลายสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย หรือการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงควรสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคมะเร็งเต้านมและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคลำพบก้อนในเต้านมหรือใต้แขน บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม และมีอาการปวดบริเวณเต้านม

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเต้านม

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวนด์ทุก 1-2 ปี

มะเร็งปากมดลูก

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง โดยเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ได้แก่ ช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ รวมถึงการมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้น หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว บางรายมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นผิดปกติ เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกจึงหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกภายใน 3 ปีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปโดยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปีควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้หญิง โดยปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยถูกตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน มีประวัติเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูงและไม่ค่อยรับประทานผัก ผลไม้

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะต้นๆ มักไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งโรคพัฒนาขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกถ่ายไม่หมด ปวดมวนท้องไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปน ลักษณะอุจจาระเล็กเรียวยาวกว่าปกติ รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีภาวะโลหิตจาง

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือวิธีอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 50 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เริ่มมีอายุน้อยลง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองเร็วขึ้นคือเริ่มที่อายุ 40 ปี

มะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นมากในอันดับที่ 4 โดยไม่เพียงเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากคือกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตรวจพบโรคเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่มีอัตราการอยู่รอดห้าปีไม่ถึงร้อยละ 5

เราทราบกันดีว่าสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สัมผัสควันบุหรี่ (second-hand smoking) และผู้ที่เคยรับสารพิษจากการสูดดมเมื่ออายุน้อยๆ ซึ่งอาการของโรคจะปรากฎเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะที่ 3-4 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมะเร็งเกิดที่หลอดลมก็จะมีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอมีเลือดปน

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปอด

หากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เลิกสูบมาไม่เกิน 15 ปี มีบุคคลในครอบครัวสูบบุหรี่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับมลภาวะและสารพิษต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dose computerized tomography หรือ low-dose CT) ซึ่งใช้ปริมาณรังสีน้อยแต่ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงเช่นเดียวกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจจึงมีความปลอดภัยและแม่นยำ

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย โดยสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นผู้หญิงที่มีบุตรน้อยหรือไม่มีบุตร มีประจำเดือนต่อเนื่องแม้จะถึงวัยที่ควรหมดประจำเดือนแล้ว มีภาวะฮอร์โมนผันผวน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้มากขึ้น

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติจึงจำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์หรือใช้วิธีเก็บเซลล์จากโพรงมดลูกไปตรวจ หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางปากมดลูกเพื่อตรวจโพรงมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือมะเร็งหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 สุดยอดสมุนไพร “แก้ไอ”

อาการไอ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ระคายเคืองทางเดินหายใจออกไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นภูมิแพ้ เช่น แพ้ฝุ่น ควัน สารระคายเคืองต่างๆ หรืออาจเกิดจากการอักเสบและติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ 

ซึ่งวิธีรักษาอาการไอนั้น นอกจากรักษาตามแนวแพทย์แผนปัจจุบัน คุณอาจเลือกใช้วิธีดูแลตนเองด้วย 5 สมุนไพรที่หาได้ใกล้ตัวต่อไปนี้ 

1. ขิง

เป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมาย ผู้คนมักนำเหง้าขิงมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นยา เหง้าขิงมีรสเผ็ดหวาน เหมาะสำหรับนำมาใช้บรรเทา รักษาอาการไอ เจ็บคอ

เพราะในขิงนั้นมีสารสำคัญซึ่งอยู่ในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย เช่น จินเจอรอล (Gingerol) ซิงเจอโรน (Zingerone) โชเกล (Shogoal) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นเหียน แก้อาเจียน แก้ไอ และช่วยขับเสมหะได้ดี 

วิธีใช้: นำเหง้าแก่สด 5 กรัม หรือประมาณ 2 หัวแม่มือ ตำแล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย หรือใช้เหง้าขิงมาฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

นอกจากวิธีดังกล่าว ปัจจุบันยังมีขิงผง หรือขิงสำเร็จรูป ที่สามารถนำมาชงดื่มได้เลย แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีน้ำตาลในปริมาณน้อย

2. ผลมะแว้ง

มีรสขม สารสำคัญที่พบคือ อัลคาลอยด์ (Alkaloid) โซลาโซดีน (Solasodine) และโซลานีน (Solanine) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท และระบบหายใจ จึงช่วยบรรเทาอาการไอ 

นอกจากนี้ ยังมีสารลิกนิน (Lignin) และซาโปนิน (Saponin) ที่ช่วยลดการอักเสบ ละลาย และขับเสมหะได้ดี

วิธีใช้: ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมจะใช้มะแว้งสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาด นำมาเคี้ยวและอมไว้ หรือใช้ผลแก่สด 5-10 ผล นำมาโขลกพอแหลก คั้นน้ำ ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ หรือจิบเวลาที่ไอ

ในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบให้รับประทานได้ง่ายขึ้น คือ ยาอมมะแว้ง ที่มีรสชาติดี ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการไอ ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

3. มะนาว

เป็นพืชที่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ เพิ่มความเปรี้ยวให้อาการประเภทยำ ต้มยำต่างๆ 

นอกจากนี้ น้ำมะนาวยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เนื่องจากในน้ำมะนาวมีกรดอินทรีย์หลายชนิดจึงมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลาย ทำให้ชุ่มคอ จึงช่วยลดอาการไอ กัดเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน 

วิธีใช้: ทำได้หลากหลายแนวทาง เช่น

  • ใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้มะนาวฝานบางๆ จิ้มเกลือรับประทานเวลามีอาการ 
  • ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำมาผสมเกลือ จิบบ่อยๆ
  • นำเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ

4. มะขามป้อม

มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะ รับประทานเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้หวัด แก้ไอ กระตุ้นน้ำลาย ช่วยให้ชุ่มคอ ละลายเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ

วิธีใช้: ใช้เนื้อผลแก่สด ครั้งละประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยว รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ผลสดฝนกับน้ำแทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดจิ้มเกลือรับประทาน

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาจากสมุนไพร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ซึ่งมียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม ใช้จิบเมื่อมีอาการไอทุก 4 ชั่วโมง 

อย่างไรก็ตาม ยาแก้ไอผสมมะขามป้อมนั้นห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำตาล นอกจากนี้ควรระวังการใช้มะขามป้อมในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

5. ฟ้าทะลายโจร

มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) และอนุพันธ์ ซึ่งมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอ ป้องกันและบรรเทาหวัด ลดการอักเสบ

วิธีใช้: ใช้ใบฟ้าทะลายโจรสดหรือแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ ใส่ในแก้ว เติมน้ำร้อนแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วก็นำมารินดื่ม 

เวลาที่เหมาะสำหรับดื่มน้ำสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ ก่อนอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หากรับประทานแบบแคปซูล มีวิธีรับประทานตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานครั้งละ 3-6 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง บรรเทาอาการหวัด 
  • รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน และหากรับประทานแล้วอย่างน้อย 3 วัน อาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง และควรระวังในการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และห้ามใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับแก้เจ็บคอในกรณีต่อไปนี้

  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A)
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคไตอักเสบเนื่องจากเคยติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease: RHD)
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น

อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ มีน้ำมูก หรืออาการต่างๆ ที่เกิดจากหวัด สามารถดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นได้ ด้วยการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย จิบน้ำอุ่น และรับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ หรือรักษา และป้องกันหวัดดังที่กล่าวมาข้างต้น 

แต่นอกเหนือจากนั้น คุณควรสังเกตอาการตนเอง หากรับประทานยาสมุนไพรแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจ วินิจฉัยโรคอย่างแน่ชัด เพื่อให้รักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือโรคที่รุนแรงที่อาจเกิดตามมา

ที่มา: honestdoc
ภาพจาก: freepik

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ความมหัศจรรย์ของ “ขิง”

มาพบกับความมหัศจรรย์ของ “ขิง” ที่ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพมายาวนานกว่าห้าพันปีกันค่ะ

#ขิง #ประโยชน์ของขิง
#Gingen #จินเจน #ขิงผงแท้100%
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

6 ข้อ! สร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง

ภูมิต้านทาน คือ เกราะป้องกันสุขภาพตามธรรมชาติ ที่คอยช่วยเหลือไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากง่ายจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกาย

ดังนั้น การมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ จึงมีส่วนช่วยไม่ให้ร่างกายอ่อนแอจากสิ่งเร้าภายนอกต่างๆ ซึ่งการดูแลและเอาใจใส่ภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรงอยู่ตลอด จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งเพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างยาวนาน

 

แล้วเราจะสร้างภูมิต้านทานให้แข็งไรงได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

✅ นอนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชม.
✅ ออกกำลังกาย วันละ 1-3 ชม. อย่างน้อย 5 วัน/ สัปดาห์
✅ ไม่เครียด ไม่หักโหมทำงานหนัก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่
✅ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สด สะอาด
✅ เสริมด้วยผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งของแร่ธาตุ วิตามิน และใยอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซีที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย และต้านโรคหวัด หรืออย่าง ส้ม และฝรั่ง ก็ยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย ช่วยระบายของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกายได้อีกด้วย
✅ ข้อมูลจากกรมอนามัยได้แนะนำให้เสริมภูมิคุ้มกันด้วยผักสมุนไพร อาทิ ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอม กระชาย มะระ ผักหวาน ขี้เหล็ก ใบกะเพรา มะเขือเปราะ และมะนาว สรรพคุณพืชผักสมุนไพรเหล่านี้ มีความเผ็ดร้อน ช่วยบรรเทาอาการของไข้หวัด และเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายได้อย่างดี

เตรียมร่างกายให้พร้อม ก็มีชัยจากเช้าไวรัสและเชื้อโรคทั้งหลายไปเกินครึ่งแล้วค่ะ สู้ๆนะคะทุกคน แล้วเราจะผ่านโรคร้ายๆต่างๆไปด้วยกันอย่างแข็งแรง

#ด้วยความห่วงใย #จินเจน

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

“6 สิ่งมงคล” ที่ควรทำใน “วันตรุษจีน”

วันตรุษจีนนี้ มาดูสิ่งมงคลที่ชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนเชื่อว่าควรทำเพื่อเสริมโชคลาภ และเป็นศิริมงคลกันดีกว่าค่ะ

  1. ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ

เอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไหว้เจ้ากันก่อน วันไหว้เจ้านี้เราจะเรียกว่า “วันซาจั๊บ” การไหว้นั้นเริ่มจากการไหว้เจ้าในบ้าน หรือตีจูเอี๊ยะ และไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นช่วงเที่ยงก็เป็นการไหว้ผีไม่มีญาติ ของไหว้ในช่วงตรุษจีนนั้นมีทั้งอาหารคาวหวานจะมากจะน้อยจัดไปตามแต่ฐานะของผู้ไหว้ เมื่อเสร็จกิจการไหว้ก็ได้เวลาจุดประทัด ตามด้วยนำข้าวสารผสมเกลือมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป

2. ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาพ “ไฉ่ซิงเอี้ย”

เทพเจ้า ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ การตั้งพิธีรับเทพ เปรียบได้กับการทำพิธีรับโชครับทรัพย์ โดยทั่วไปมักทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนยาวไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ ไหว้แล้วก็จะได้เฮงๆ รับทรัพย์กันไปยาวๆตลอดทั้งปี

3. กินเจ มื้อแรกของปี

เช้าวันใหม่ในวันแรกของปีควรเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆด้วยการ การกินเจ เรียกได้ว่า อิ่มบุญกันตั้งแต่ต้นปีกันเลย

4. ใส่ชุดใหม่ สีสันสดใส

การใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ สีสันสดใส จะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่สดใสเข้ามาในชีวิต และสียอดนิยมของเทศกาลนี้ คือ สีแดง สีร้อนแรง สดใส ที่แฝงไว้ด้วยความหมาย ของความมงคล และความมั่งคั่ง

5. ให้ส้มอวยพรผู้ใหญ่

ตามประเพณีของชาวจีน ในช่วงวันตรุษจีน ทุกคนในบ้านจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรจากผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงเอาไว้ 1 พาน พร้อมกับลูกสมอจีนไว้รอรับแขก และเมื่อมีผู้มาอวยพรด้วยส้ม 4 ผล เจ้าบ้านจะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านของตนเองไปใส่คืนไว้ให้แขก 2 ผล เชื่อกันว่าเป็นศิริมงคลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับ

6. รับอั่งเปา

อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องเสริมมงคลในวันตรุษจีนก็คือ การรับอั่งเปาซองแดงจากผู้ใหญ่ ที่จะให้ผู้น้อยเพื่อให้เกิดความโชคดีตลอดปี ก่อนจะรับซองแดงมาอย่าลืมกล่าวคำอวยพรด้วยว่า “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” หรือถ้าอยากอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงก็จัดคำนี้ “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้เกี่ยงคัง”

————————

ช้อปออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> https://shop.gingen.com
Inbox: m.me/gingenthailand
Line: https://lin.ee/lP2ryBp
หรือ 📱 028609788

Cr. Rabbit Daily

ใครบ้างควรดื่มน้ำขิง?

ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยสารอาหาร และ ประโยชน์ต่างๆมากมายในหลายๆด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา เช่น วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนมากอีกด้วย

เรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรอย่างขิงนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง และใครบ้างควรดื่มน้ำขิง

1. คนรักสุขภาพ

หนึ่งในสรรพคุณหลักๆของขิงคือ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้ รวมถึงช่วยป้องกันไข้หวัด ดังนั้นคนรักสุขภาพจึงมักเลือกดื่มทุกเช้าหรือก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน

2. คุณแม่ตั้งครรภ์

การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือนำขิงมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร จะช่วยคุณแม่ได้ตลอดระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะแม่ท้องอ่อนที่เริ่มมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ วิงเวียน ศีรษะ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยในขิงจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ และยังช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับ รวมถึงขิงยังมีธาตุเหล็กสูง ช่วยในการบำรุงเลือด แก้อาการอ่อนเพลียอีกด้วย

3. คุณแม่ให้นม

ตามตำราแพทย์แผนจีนก็ระบุว่า ขิงมีฤทธิ์ร้อน ช่วยในการเผาผลาญ ขับลม ช่วยขับเลือดคาวปลา และช่วยกระตุ้นน้ำนม โดยเฉพาะน้ำขิงร้อนๆ ที่มีฤทธิ์ร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดเข้าไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเลือดที่ไหลเวียนมากขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงต่อมผลิตน้ำนม ทำให้น้ำนมมากขึ้นตามไปด้วย

4. ผู้สูงวัย

เพราะในผู้สูงอายุ ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักประสบปัญหาเกี่ยวกับความไม่สมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกาย ทั้งระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญที่ลดลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุ อ่อนเพลียง่าย นอนไม่หลับ ระบบย่อยอาหารไม่ดี มีภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูกตามมา

“ขิง” ที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยเติมธาตุไฟที่อ่อนลงให้สมดุล ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้คนที่หนาวง่าย “ขิงแก่” แก้ปัญหาท้องผูก จุกเสียดแน่น

5. ผู้หญิงปวดประจำเดือน

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน จึงช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น และการดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงกว่า 150 คนที่ดื่มน้ำขิงชนิดผงปริมาณ 1 กรัมต่อวัน ในช่วง 3 วันแรกของการมีประจำเดือน สรรพคุณของขิงจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. หนุ่มสาวออฟฟิศ

คนวัยทำงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขภาพมากนัก การใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบตลอดเวลา ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคต่างภัยไข้เจ็บต่างๆ

ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย มีฤทธิ์เผ็ดร้อนจึงสามารถนำมาปรุงอาหารและเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่รักสุขภาพได้อีกด้วย ทั้งยังสามารถเป็นยารักษาได้สารพัดโรค ขิงให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายและสมอง ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ, บรรเทาอาการเจ็บปวด, ช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร, ช่วยป้องกันอาการหวัด, บรรเทาอาการไมเกรน

7. นักท่องเที่ยว นักเดินทาง

ปัญหาหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักพบเจอกันเป็นประจำคืออาการเมารถในระหว่างการเดินทาง วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเมารถในขณะเดินทางท่องเที่ยวได้ กับ อาหารแก้เมารถ ที่เราแนะนำให้คุณกินในระหว่างเดินทาง

ดื่มน้ำขิง ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการเมารถเมาเรือได้ แถมยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน การดื่มน้ำขิงระหว่างหรือก่อนเดินทางจึงสามารถช่วยปรับธาตุและลดอาการเมารถได้

8. คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ขิง ช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายเหมาะสม อุณหภูมิในร่างกายของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่หากอุณหภูมิในร่างกายของเราลดลงต่ำกว่า 37 จะทำระบบการย่อยหรือการเผาผลาญพลังงานไม่สมบูรณ์ ทำงานได้ไม่เต็มที่ การดื่มน้ำขิงจะเข้าไปช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้กลับเข้าที่เข้าทางทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไปได้มากขึ้น

จากสรรพคุณที่มากมายของขิง ทั้งช่วยเรื่องวิงเวียน แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้เมารถเมาเรือ ช่วยเรื่องการไหลเวียนของน้ำนมแม่ รวมถึงช่วยเผาผลาญไขมันลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิต และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้อีกด้วย!!

ประโยชน์มากมายขนาดนี้ มีขิงผงชงพร้อมดื่มไว้ติดบ้านไว้บ้างก็ดีนะคะ ^^

————————
#ขิงผงจินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ชงดื่มดีมีประโยชน์
#ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปออนไลน์ได้ที่: https://shop.gingen.com

Cr: medthai.com

“โรคหัวใจ” สถิติตายอันดับ 1…รู้ทัน ป้องกันได้

“โรคหัวใจ” อันตราย แต่ป้องกันได้!!
.
คุณเคยมีอาการชาตามมือและขา หรือแขนขามีอาการอ่อนแรง มือเท้าเย็นหรือบางทีก็บวมมั้ยคะ?
.
อาจจะเป็นได้ว่ามันเกิดจากระบบไหลเวียนเลือดของคุณไม่ดี และอาจเพิ่มระดับความรุนแรงได้ถึงขั้นกลายเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเลือดสมองก็เป็นได้
.
วันนี้จินเจนเลยเอาวิธีการง่ายๆมาช่วยให้ระบบไหลเวียนของเราดีขึ้น ลองไปดูกันได้เลยค่ะ ^^

  1. เดิน เพราะเลือดที่นำพาทั้งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงทุกเซลล์ทั่วร่างกายจำเป็นต้องไหลกลับหัวใจเพื่อฟอกรับออกซิเจนใหม่ และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เลือดจะไหลจากที่ต่ำขึ้นมายังช่วงอกได้ การเดินนั้นจึงเป็นเหมือนกับการเปิดเครื่องปั้มน้ำ มันจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดให้เลือดไหลเวียนได้ดีและง่ายขึ้น ดังนั้นเราจึงควรพยายามเดินระหว่างวันให้มาก ทั้งเดินไปกินข้าว ซื้อของ ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ รวมทั้งขยับและเคลื่อนไหวร่างกายในออฟฟิศอย่างกระฉับกระเฉง อย่ามัวเอาแต่นั่งหน้าจอทั้งวันนะคะ
  1. หันมาออกกำลังกายจริงจัง การออกกำลังกายจะช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าฟิตเนสให้เสียเงินมากมายก็ได้นะคะ แค่ท่ากายบริหารไวเด็กที่คุ้นเคย เอามาทำเป็นเซ็ทอย่างจริงจัง เคลื่อนไหวให้ครบทุกส่วน แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วหล่ะค่ะ
  1. ลดการกินเค็ม เพราะอาหารเค็มจะทำให้ความดันโลสูง แถมยังทำให้การไหลเวียนเลือดแย่ลงอีกด้วย
  1. ยกขาขึ้นสูง ในแต่ละวัน ลองหาเวลานอนลงกับพื้น ปูเสื้อโยคะหรือผ้ารองนุ่มๆยกขาขึ้นสูง ถ้าไม่ถนัดก็อนุญาตให้นอนใกล้ผนังได้ แล้วยกขาพิงกับผนังทิ้งไว้อย่างนั้นวันละ 20 นาที
  1. ดื่มน้ำวันละ 1.5 – 2.5 ลิตร คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำทั้งวันแค่ 2 – 3 แก้ว ซึ่งมันไม่เพียงต่อที่ร่างกายต้องการเลย เพราะมันจะทำให้เลือดข้นหนืด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ถ้าไม่อยากกินยาละลายลิ่มเลือดหล่ะก็ ต้องดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้วให้ได้นะคะ
  1. ลดความเสี่ยงด้วยพฤติกรรมไม่ดี เช่น การดื่มหนัก สูบบุหรี่จัด ดื่มแต่น้ำอัดลม หรือการกินอาหารที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย

#Gingen #ห่วงใยคุณ
#สุขภาพดีสร้างได้
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปจินเจนออนไลน์ที่ >> shop.gingen.com

9 สิ่งที่ทำแล้วชีวิตดี ก่อนปีใหม่

เคล็ดลับง่ายๆแค่ 9 ข้อ ที่อยากจะบอก ถ้าทำได้ ชีวิตดีแน่นอน

1. การทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้ทำมาตลอดปี การทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้ทำมาตลอดปี ว่าได้กระทำอะไรไปบ้าง ทั้งสิ่งที่ดี สิ่งที่ทำสำเร็จ รวมถึง สิ่งที่ไม่ดี และ สิ่งที่ล้มเหลว เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาตัวเอง ให้ดียิ่งขึ้น และ เบียดเบียน สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นน้อยลง

2.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าปีหน้าจะทำอะไรบ้าง อย่างไร ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตื่นเต้น และสนุกมาก กับการตั้งเป้าหมายในปีถัดไป ในทุกๆ เรื่อง บางเรื่องอาจจะต่อเนื่องจากปีที่แล้วก็ได้ ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ? เรื่องง่ายๆ เช่น จะนอนวันล่ะ 8 ชั่วโมง ออกกำลังกายทุกกวันวันล่ะ 1 ชั่วโมง หรือจะหาทีมเพิ่ม หรือจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น อ่านหนังสือวันล่ะกี่เล่ม หรือเรียนสัมมนาอะไรบ้าง ?(เรียนภาวะผู้นำสิ สร้างผลลัพธ์ได้เยอะเลย 5555) เป็นต้น  และคุณก็จดบันทึกเป้าหมายใหม่ตรงนั้น ลงในสมุด กระดาษ หรือในที่ๆคุณจะเห็นมันทุกวัน

3.จัดบ้าน หรือจัดโต๊ะทำงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานที่บ้านหรือที่ออฟฟิศก็ตาม นับว่าเป็นที่ที่เราใช้เวลากับมันมากพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่เคลียร์ออกไปก็จะทำให้บ้าน หรือโต๊ะเรายิ่งดูรกกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ทางที่ดีลองใช้เวลานี้เคลียร์ให้บ้านสะอาด โต๊ะโล่งๆ เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้รู้สึกดีๆ ก่อนจะเริ่มต้นทำงานปีหน้า

4. อย่าละเลยการออกกำลังกาย . แม้จะรูปร่างดีอยู่แล้ว หรือวุ่นกับงานมากๆ ก็ไม่ควรหยุดออกกำลังกายนะคะ และถ้าหาเวลาว่างยาก ลองปรับเวลาออกกำลังกายเป็นเวลาที่สะดวกและทำได้ทุกวัน ซึ่งก็คือหลังตื่นนอนตอนเช้า เพราะจะกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานแต่เช้า และไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเวลาระหว่างวันด้วย นอกจากนี้ การเดินหรือร่วมกิจกรรมในงานเลี้ยงก็ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆ หรือการเต้นก็ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีเช่นกัน

5. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลังจากที่กินตามใจปากมามากทั้งปีแล้ว ปีใหม่นี้ก็ได้ฤกษ์กลับมาดูแลตัวเองเสียที ไม่ว่าจะทำกินเองที่บ้านหรือกินเลี้ยงข้างนอกก็ตาม เคล็ดลับคือเลือกตักอาหารพวกผัก ผลไม้ หรือถั่วเป็นหลัก เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารแล้ว อาหารประเภทกากใยจะยังทำให้เราอิ่มไวขึ้นด้วยค่ะ

6.. ตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ว่าเราจะอายุ 18 หรือ 80 ปี เราก็จำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต มะเร็งปากมดลูก เบาหวาน หรือภาวะผอม หรืออ้วนเกินไป รวมไปถึงการตรวจสายตาและตรวจสุขภาพฟัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจไปได้ตลอดทั้งปี ว่าเรามีสุขภาพดี หรือหากเราพบปัญหาทางสุขภาพปัญหาใดปัญหาหนึ่ง เราจะได้แก้ไขได้ทันเวลาโดยที่สายเกินไป

7.ใช้เวลากับเรื่องไร้สาระให้น้อยลง . เดี๋ยวนี้ในโลกโซเชียลมีประเด็นดราม่า และข่าวกอสซิปให้เราได้ติดตามมากมาย คนนู้นคนนี้เลิกกัน ดาราตีกัน ดาราแต่งตัวโป๊ เรื่องพวกนี้เม้าท์กันเพลินๆ ก็สนุกปากดีค่ะ แต่อย่าไปใช้เวลา หรืออินกับมันมากเกินไปนัก ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ

8.ให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขให้ตัวเอง ความต้องการของคุณมันเป็นสิ่งสำคัญเสมอเช่นเดียวกับคุณค่าของตัวคุณ ถ้าคุณยังไม่ให้คุณค่ากับตัวคุณเองแล้วใครจะมาให้แทนได้อีก? จงจำไว้ว่าคุณสามารถหาทางให้ความสุขกับตัวคุณเองในขณะที่ยังสามารถแคร์คนรอบข้างคุณได้ ไม่ใช่เอาแต่แคร์คนอื่นจนไม่ให้ความสุขตัวเอง

9. รู้จักให้อภัยคนรอบข้าง และแบ่งปันความสุข คนที่เคยทำให้เราขุ่นเคืองใจ โกรธ หรือเคียดแค้น จากนี้เราก็จงให้อภัยเขา อย่าเอามันมาเป็นกำแพงในการสร้างความสุขของเรา แล้วมาเริ่มต้นกับปีใหม่ เอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากขึ้น ควบคู่ไปกับหมั่นสำรวจความคิดและความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ช่วงไหนทุกข์หรือเครียดมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกจากภาวะนั้นโดยเร็วที่สุด และเมื่อมีความสุขแล้วก็อย่าลืมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนรอบข้างด้วยนะคะ ความสุขยิ่งแบ่งปันไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งกลับเข้ามาหาเราแบบทวีคูณค่ะ

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com

#Gingen #จินเจน #ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

แซ่บมาก! สาวออฟฟิศ อายุ36 เผยเคล็ดลับ ปั้นหุ่นสวยภายใน 3 เดือน!!

เรื่องจริงของสาวออฟฟิศ ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เจ้าของกระทู้เด็ดพันทิป “คุณไปร์ท” สมาชิกหมายเลข 3747687 เว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มารีวิวลดน้ำหนักด้วยตัวเองตอนอายุ 36 ปี ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และที่สำคัญความตั้งใจ ถ้าอ่านจบแล้วเชื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆหลายคนในการหันมารักตัวเองได้แน่นอนเลยค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

เมื่อชะนีออฟฟิศ สุดขี้เกียจ !! อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปั้นหุ่นแซ่บ สไตล์สาวออฟฟิศ อายุ 36 (18+)

No Gym / NO Trainer

          ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะคะว่า เราไม่ได้อ้วนมากถึงขนาดร้อยโล หนักสุด 60 โล แต่ตลอดชีวิตเราใช้วิธีการลดน้ำหนักที่ผิดมาตลอดค่ะ โดยการอดอาหาร กับกินยาถ่ายทุกวัน วันละเกือบจะ 10 เม็ด (สิ่งนี้ทำให้ปีที่แล้วเราต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด แต่ขอไม่พูดถึงรายละเอียดนะคะ) น้ำหนักตัวเราสวิงมาก อ้วน ๆ ผอม ๆ จนร่างกายเผละ เนื้อเหลว หน้าตาไม่สดใส หมอง ๆ โทรม ๆ

ป.ล. กระทู้นี้อาจจะยาวเพราะอยากบอกอย่างละเอียด และมีรูปเซ็กซี่นะคะ  ใครไม่ชอบกดผ่านได้ค่ะ  ด่าได้แต่อย่าแรงนะคะ ถึงแก่แล้วแต่เค้าก็อ่อนไหวน้า

          สวัสดีค่ะ แนะนำตัวก่อนนิดนึง ชื่อ ไปร์ทนะคะ อายุเดือนนี้ 36 แล้วเลยคิดว่า เดือนเกิดอยากจะมาแชร์อะไรเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยค่ะ แค่คนคนหนึ่ง เห็นว่าเป็นประโยชน์เราก็ดีใจมาก ๆ แล้วค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

          ดูความเปลี่ยนแปลงก่อนนะคะ ตั้งแต่ Week 0 ที่เริ่ม start  ไปร์ทหนัก 55 kg. ถึง Week ที่ 11 หนัก 48 kg.

รีวิวลดน้ำหนัก

          เป้าหมายของหลาย ๆ คนอาจจะเป็นการลดน้ำหนัก แต่เป้าหมายของเราคือการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ให้มาเป็น Healthy lifestyle อาจมีหลาย ๆ คนสงสัย ทำไมถึงอยากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เรามาดูกันว่า ไลฟ์สไตล์ก่อนมาเป็น สาย Healthy lifestyle ของไปร์ทเป็นยังไงค่ะ

1. ตอนเช้าไม่อยากตื่นไปทำงาน ตื่น 8 โมงเช้า เข้างาน 9 โมง ทุก ๆ เช้า ตื่นมาจะรู้สึกว่า ลางานดีไหมไม่อยากไปทำงาน

2. ตอนเย็นถึงบ้าน สองทุ่มครึ่งทุกวัน นั่งเล่นเน็ตจนเที่ยงคืน แล้วนอน วนเวียนไปแบบนี้ทุกวัน

3. ทานแต่อาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่ขนมถุง หนังไก่ทอดนี่ของชอบ กินน้ำหวาน กาแฟ วันละ 2-3 แก้วต่อวัน  ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า ผัก-ผลไม้ไม่ต้องพูดถึง กินน้อยมาก

4. นั่งทำงานทั้งวัน ลุกเดินแค่ไปห้องน้ำ กับไปกินข้าวกลางวัน

5. ออกกำลังกายหรอ ??? บ้าหรออออ !!! จะเอาเวลาที่ไหน กลับบ้านเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

6. นอนเที่ยงคืน บางคืนก็ตีหนึ่ง

7. พอน้ำหนักขึ้น สามารถอดข้าวได้เป็นสัปดาห์ ๆ กินแต่น้ำ เพื่อลดน้ำหนัก รวมทั้งกินยาถ่ายทุกวันวันละ 10 เม็ด

แล้วชีวิตก็วนเวียนอยู่แบบนี้ จนอายุล่วงเลยมาถึง 36 ปี รู้สึกไม่ค่อยมีแรง หน้าโทรม ๆ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่สดใส สภาพร่าง ณ ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิต แบบนี้ “เผละ” โดยการอดอาหาร ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ อ้วน ๆ ผอม ๆ แต่หน้าท้องบวมตลอด

รีวิวลดน้ำหนัก

          เปลี่ยน – (Your life does not get better by CHANCE, It gets better by CHANGE)

รีวิวลดน้ำหนัก

           จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง อย่างที่บอกเลยค่ะ แต่ก่อน ถ้าน้ำหนักเราขึ้น เราจะอดข้าว สามารถอดได้ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ ๆ กินแต่น้ำ ตอนเด็ก ๆ ยังไม่ 30 มันก็ลดนะคะ อดวันนึง ลด 2 โล พอ 30+ เท่านั้นแหละค่ะท่านผู้ชมมม…อดข้าว 2 สัปดาห์ มันลด 1 โล  และตรงนี้แหละค่ะทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า เราน่าจะมาผิดทาง นี่เราอดข้าว ถึง 2 สัปดาห์ มันต้องลดอย่างน้อย 3-5 โล ก็ยังดี นี่ลด 1 โล มันต้องผิดทางแน่ ๆ (เพิ่งมารู้ตอนหลัง ว่านี่คือร่างกายเข้าสู่ระบบเผาผลาญพัง)

รวมถึงปีที่แล้ว ไปร์ทต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องนอนโรงพยาบาล เราเริ่มคิดว่าเราควรใส่ใจสุขภาพให้มากกว่านี้ เราเริ่มหาข้อมูลใน พันทิป, Google ว่ามันมีไหมวิธีที่ลดความอ้วนอย่างยั่งยืน มีความสุข สุขภาพดี เจอแต่กระทู้กินคลีน กับออกกำลังกาย ตอนนั้นก็ยังคิดนะคะว่า ไม่น่า…มันต้องมีวิธีอื่นสิ คิดว่าเราทำไม่ได้หรอก ไม่มีเวลา กินคลีนมันไม่อร่อย แพง มันน่าเบื่อ ทั้งที่ไม่เคยกิน ฮ่า ๆ ทำไม่ได้ ๆๆ บลา ๆๆๆ สารพัดข้ออ้าง

FIT FORMULA = EAT WELL 80% + EXERCISE 20%

          จนเราไปเจอ คลิป youtube ของนางแบบ Victoria Secrets ดูการใช้ชีวิตของนาง มามองดูชีวิตเรา เราเริ่มมีคำถามกับตัวเอง เราอยากเป็นคนที่เราเป็นตอนนี้ จริง ๆ เหรอ เรารักตัวเองจริง ๆ รึเปล่า ?? เราเกิดมาเพื่อ นั่ง ๆ นอน ๆ ทำงานซังกะตาย แล้วป่วยตายจากโลกนี้ไป คือชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วคนรอบข้างเราส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตแบบนี้แทบจะ 80% !
จบคำถาม เราบอกตัวเองเลยค่ะเราต้องเปลี่ยน และเราก็เริ่มทำในวันถัดมาเลยค่ะ เราไม่รู้หรอกนะว่าเราจะทำได้ไหม แต่เราไม่อยากมีชีวิตอย่างที่ผ่านมา เราอยากลองรักร่างกายของเราสักครั้ง สัปดาห์แรก ๆ ยากเหมือนกัน เพราะเหมือนเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน แต่พอผ่าน 2 สัปดาห์ไปแล้วร่างกายเริ่มชิน เริ่มรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ต้องฝืนแล้วค่ะ สิ่งแรกที่ทำคือ
1. จากตื่น  8 โมงเช้า เป็นตื่น 6 โมงเช้า หลังจากตื่นจะดื่มน้ำ 1 แก้วใหญ่ แล้วออกกำลังกาย ประมาณ 15 นาที โดยเล่นหน้าท้องเป็นหลัก จากนั้นจะทำอาหารเช้าและอาหารกลางวันเพื่อเตรียมไปกินที่ออฟฟิศ แล้วค่อยอาบน้ำ แต่งหน้า แต่งตัว แล้วไปทำงานค่ะ
2. ตอนเย็น กลับมาถึงบ้านสองทุ่มครึ่ง ออกกำลังกายก่อนเลยค่ะ 30-45 นาที (เน้นขา/แขน) หลังจากออกกำลังกายเสร็จก็มาหั่นผัก หั่นไก่ เตรียมของไว้สำหรับทำอาหารพรุ่งนี้
3. เข้านอน ห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน จริง ๆ พยายามนอนก่อนห้าทุ่ม แต่ข้อนี้ทำยากจริง ๆ ค่ะ ถ้าทำได้จะดีมาก เพราะการนอนพักผ่อนสำคัญยิ่งกว่าการกินและการออกกำลังกายอีกค่ะ
แล้วชีวิตก็วนเวียนลูปนี้มาได้ 3 เดือนแล้วค่ะ จะบอกว่าเดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกไม่อยากตื่นนอนมาทำงานแล้วค่ะ เพราะตอนนี้ชีวิตเรามีอย่างอื่นให้โฟกัส ไม่ใช่แค่เรื่องงานอย่างเดียว ทุกครั้งที่ตื่น เราจะคิดถึงการออกกำลังกาย กับการทำอาหาร เลยทำให้เราอยากตื่นมาออกกำลังกาย มาทำอาหารทุกวันเลย เราชอบมาออฟฟิศ เพราะไม่เปลืองน้ำที่บ้านเรา ฮ่า ๆ แบบดื่มน้ำเยอะมาก เราเพิ่งรู้ว่าเรารักการทำอาหาร เรามีความสุขกับการนั่งคิดว่า วันพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกินดี มีความสุขกับการดูหุ่นตัวเองที่เปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ เราเริ่มรู้จักคำว่ารักตัวเองจริง ๆ ก็ตอนนี้

INSANITY DOING THE SAME THING OVER AND OVER AGAIN AND EXPECTING DIFFERENT RESULTS

รีวิวลดน้ำหนัก

          เกริ่นมาเยอะ คราวนี้มาดูวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายของเรากันเลยค่ะ
1. ตั้งเป้าหมาย (Dreams don’t come true Goal Do !!!)

สิ่งแรกที่ต้องทำและสำคัญมาก หาหุ่นในฝันก่อนเลยค่ะ รูปนางแบบ หุ่น แบบที่เราอยากได้ ของไปร์ทคือคนนี้ค่ะ เราไม่อยากผอม เราอยากได้มีน้ำมีนวลมีความ Feminine อยู่ ฟิต ๆ มี กล้ามท้อง แบบคนในรูปนี้เลยค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เริ่มต้นด้วยการ set goal นะคะ ถ้าเราไม่ set เราจะเดินสะเปะสะปะ เป้าของเราคือ เราต้องมีหุ่นแบบนี้ภายใน 6 เดือน

รีวิวลดน้ำหนัก

          ป.ล. เดี๋ยวตอนท้ายจะมาเฉลยนะคะว่า ผ่านมา 3 เดือน แล้ว หุ่นไปร์ทปัจจุบัน (Week 12) เปรียบเทียบกับหุ่นเป้าหมาย แล้วเป็นยังไงบ้าง ติดตามชมกันนะคะ
2. คำนวณ BMR & TDEE
สิ่งที่สองที่ต้องทำ คำนวณพลังงานที่ใช้ต่อวันในภาวะร่างกายปกติ ด้วยสูตร BMR (พลังงานพื้นฐานในการใช้ชีวิต) และ TDEE (พลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน)  เว็บนี้เลยค่ะ http://www.bt-50.com/app.php?app=calculate_bmr_tdee ของไปร์ทคำนวณได้ตามรูปข้างล่างเลยค่ะ ดังนั้นไปร์ทจะคุมแคลฯ ต่อวัน ให้อยู่ระหว่าง 1,300-1,500 ไม่เกินนี้ค่ะ ช่วงลดน้ำหนัก  ช่วงเมนเทน ไปร์ทกินอยู่ที่ 1,500-1,600

รีวิวลดน้ำหนัก

          https://www.healthline.com/nutrition/how-many-calories-per-day
ลิงก์นี้มีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ จะคำนวณว่าเราควรจะกินเท่าไร เพื่อ maintain/lose/lose fast   ค่ะ ของไปร์ทคำนวณแล้วจะได้ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ อันนี้น่าจะใช้ฐาน เป็น BMR นะคะในกรณีที่เราไม่ออกกำลังกายเลย แต่ถ้าเราออกกำลังกายด้วย ไปร์ทว่าเรากินให้แคลอยู่ระหว่าง BMR กับ TDEE จะดีที่สุดค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

3. คุมอาหาร 80% (Eat for the body you want not the body you have)
ไปร์ทเริ่มทำอาหารทานเอง เพราะควบคุมแคลอรีได้ง่ายกว่า และเพื่อสุขภาพด้วยค่ะ อาหารไม่คลีน 100% นะคะ เน้นอร่อย และมีประโยชน์ ไปร์ทไม่นับแคลฯ นะคะ แค่ประมาณเอา
– ใช้น้ำมันสเปรย์

– ใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาล

– งดของทอด/ของหวาน

– ลดเค็ม เพราะทำให้ตัวบวมน้ำ ไปร์ทไม่ค่อยซีเรียสเรื่องกินเค็มเท่าไร แก้ได้โดยการดื่มน้ำเยอะ ๆ แต่กินมาก ๆ ไม่ดี นะคะไตพัง

– ใส่ใจเรื่องแคลอรีอาหารที่กินอย่าให้ต่ำกว่า BMR และสูงเกิน TDEE

– กินอาหารให้ครบ 5 หมู่

– เลือกทานแป้งขัดสีดีกว่า

– เลือกทานไขมันดีจากอัลมอนด์ อะโวคาโด เนยถั่ว ปลาแซลมอน

– เปลี่ยนมากินอเมริกาโน่เย็นไม่ใส่น้ำตาล

– ดื่มน้ำเยอะ ๆ ช่วยได้มากจริง ๆ ในเรื่องของการเผาผลาญและเรื่องผิว

– ในช่วง 2 เดือนแรก ไม่มีชีทมีลเลยค่ะ และแนะนำคนที่เริ่มคุมอาหารว่าอย่าเพิ่งมีชีทมีลจะดีกว่าค่ะควรให้ร่างกายเคยชินกับการทานอาหารแบบเฮลธ์ตี้ก่อน ไม่งั้นโอกาสหลุดจะมีสูงมาก ๆ ค่ะ

– ห้ามอดอาหารหรือกินน้อยกว่า BMR เด็ดขาดนะคะ เพราะโอกาสโยโย่สูงมากค่ะ

– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ แต่ไปร์ทดื่มบ้างนะคะ เสาร์-อาทิตย์ เวลาไปเดตค่ะ (ถึงโสด แต่คิวแน่นตลอดนะคะ ฮี่ ๆ)

 

          ตัวอย่างอาหารที่ทำค่ะ ไม่คลีน 100% นะคะ แต่สุขภาพดีทุกเมนู แน่นอนค่ะ – Eating well is a form of self-respect

รีวิวลดน้ำหนัก

          ชีวิตขาดหวานไม่ได้ ? ความหวานเราได้จากหลายแหล่งนะคะ จากกล้วย, อินทผาลัม, หญ้าหวาน, น้ำผึ้ง คิดจะกินหวาน กินหวานที่มาจากธรรมชาติ ไม่ผ่าน Process ดีกว่าค่ะ ไปร์ทดื่มโกโก้ร้อนทุกเช้า ใครว่า diet จะกินโกโก้ไม่ได้  (โกโก้มีประโยชน์มากนะคะ สิ่งที่ทำให้อ้วนคือน้ำตาล) โกโก้ของไปร์ทจะใช้นมอัลมอนด์ unsweetened + cacao unsweet powder รวมแล้วแก้วหนึ่งประมาณ 50 แคลฯ ค่ะ  แค่เลือกสักนิด ชีวิตก็เปลี่ยนค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

           Snack – ต้องมีพกติดตัวตลอดค่ะ สำคัญมาก เพื่อป้องกันเวลาที่เราหิว เราจะได้หยิบพวกนี้เข้าปากค่ะ ถ้าไม่มีของพวกนี้โอกาสสูงมาก ที่เราจะไปกินของไม่มีประโยชน์เวลาหิว

          สรุป เรื่องอาหารนะคะอย่างที่บอกว่าลดความอ้วน อาหารที่เรากินสำคัญถึง 80% ไปร์ทเชื่อว่าคนที่อยากลดความอ้วนทุกคน อยากมีหุ่นดีตลอดไป ไม่ใช่ผอมอยู่ 1-2 เดือน แล้วอ้วนเหมือนเดิม ดังนั้นการอดอาหาร การกินอาหารที่คลีนเกินไป โดยที่เราไม่ได้มีความสุข มันไม่ยั่งยืน อยากให้คุณกินแบบมีความสุข แบบที่กินได้ทุกวันแบบไม่ทำร้ายร่างกาย ปรับให้มันเข้ากับตัวเราที่เราสามารถกินแบบนี้ได้ตลอดชีวิต โดยที่ไม่ฝืนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ตั้งแต่เรามาทานอาหารสุขภาพ ไม่คลีน 100% จากที่เคยคิดว่ามันไม่อร่อย เปลี่ยนเลยค่ะ  sandwich  ที่เราทำอร่อยมาก อิอิ เอาไปให้น้องที่ออฟฟิศกิน ติดใจกันทุกคน เลยทำให้เราคิดว่าอันนี้คือของหวานของเราค่ะ เราไม่เคยอยากกิน พวกเบเกอรี่ ขนมหวาน ที่น้ำตาลเยอะ ๆ อีกเลย สำหรับ ชีทเดย์ ส่วนใหญ่เราจะกินอาหารรสจัด ที่ปรกติไม่ได้กิน ส้มตำ ยำขนมจีน แบบรสจัด ๆ แต่ว่าของพวกนี้แคลฯ ต่ำนะคะ แต่ว่าไม่ค่อยดีกับสุขภาพ เราเลยถือเป็นชีทมีลของเรา
ถ้าไปกินข้าวข้างนอก เราฟรีนะคะ คือกินอะไรก็ได้แต่ขอให้มีประโยชน์กับสุขภาพ ไม่เน้นแคลฯ สัปดาห์หนึ่งจะทานข้างนอก สัก 1-2 ครั้งค่ะ วันนั้นทั้งวันเช้า-กลางวันจะกินน้อย เพื่อให้แคลฯ ตอนเย็นมาบาลานซ์กัน

Sandwich ของเรานะคะ นี่คือเมนูหลักอาหารเช้าของเราเลยค่ะ กินทุกวันไม่เคยเบื่อ

Whole wheat bread + Banana + Peanut Butter + Cinnamon + Granola + Cacao powder (ประมาณ 350 แคล)

รีวิวลดน้ำหนัก

4. ออกกำลังกาย 20%  (Exercise not only changes your body. It changes your mind, your attitude and your mood.)
ไปร์ทออกกำลังกายที่บ้านเพราะเคยสมัครฟิตเนสรายปีประมาณ 20,000 บาท แล้วไปใช้แค่เดือนเดียวค่ะ แล้วก็ขี้เกียจไป รู้สึกเสียดายเงินมาก รู้สึกไม่เหมาะกับเรา เป็นคนที่ออกจากบ้านต้องแต่งตัว ดังนั้นกว่าจะออกกว่าจะไปถึงฟิตเนส มันเลยทำให้ขี้เกียจ คือเราไม่ได้ขี้เกียจออกกำลังกายนะ แต่เราขี้เกียจแต่งตัว ขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจเดินทางฝ่ารถติด โอ๊ะ…ทำไมขี้เกียจจัง ฮ่า ๆๆ เลยคิดว่าการออกกำลังกายที่บ้านน่าจะเหมาะกับเราที่สุด ใส่ชุดกาก ๆ ไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้า ก็ออกกำลังกายได้ 55555
ไปร์ทออกกำลังกายทุกเช้าหลังตื่นนอน ประมาณ 15 นาที และเย็นอีกประมาณ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 5-6 วัน อุปกรณ์มีดัมเบลอันเดียวค่ะ ออกตามคลิปยูทูบ ด้วยความที่แต่ก่อนไปร์ทไม่ได้อ้วนมาก และไปร์ทควบคุมอาหารจริงจัง เลยไม่ได้คาร์ดิโอเลยค่ะ หุ่นที่ได้มาได้มาจากการบอดี้เวต อย่างเดียวเลย แต่สำหรับคนที่น้ำหนักเยอะมาก ๆ แนะนำให้คาร์ดิโอกับบอดี้เวตคู่กันนะคะ ผิวหนังจะได้ไม่ย้วย

รีวิวลดน้ำหนัก

          อันนี้เป็น AB Routine ที่ทำทุกเช้านะคะ อันนี้สำหรับ 5 Minutes Flat Stomach ทำ 2 รอบ ทุกวัน รับรองว่า หน้าท้องล่างจะบอกลาคุณค่ะ มันดีจริง ๆ มีอีกอันคือ Six-pack เดี๋ยวจะเอามาฝากวันหลังนะคะ

https://youtube.com/watch?v=bCpFrh1Vs58%3Fenablejsapi%3D1

           สรุปนี่คือสิ่งทั้งหมดที่เปลี่ยน คือมันก็ไม่ยาก แต่มันก็ไม่ง่ายนะคะ แต่ถ้าทำได้มันคุ้มจริง ๆ ค่ะ สิ่งที่ต้องมีจริง ๆ คือความตั้งใจ วินัย และเป้าหมายต้องชัดเจน (เรารู้สึกนับถือทุกคนที่มาสาย healthy นะคะเพราะเรารู้ว่ามันไม่ง่ายจริง ๆ)
  ถ้าคุณทำได้ ไปร์ทบอกเลยว่าชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกอย่างจริง ๆ ค่ะ คุณรู้ไหมคะ ว่าระบบเผาผลาญพัง มันเกิดจากอะไร เกิดจากเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราเค้าช่วยกันเซฟพลังงาน เพื่อให้คุณได้มีชีวิตรอดเพราะเค้าคิดว่าคุณกำลังจะตายเนื่องจากการอดอาหาร จึงทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายต่ำลง ร่างกายเค้ารักคุณขนาดนี้ กลัวคุณตายขนาดนี้ รักเค้ากันเถอะค่ะ คนแรกที่คุณควรดูแลคือ ร่างตัวคุณเอง ให้เค้าได้กินของดี ๆ เวลาที่เค้าหิว ให้เค้าได้นอนเวลาที่ง่วง พาเค้าไปออกกำลังกายจะได้แข็งแรงอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ถ้าคุณรักเค้าดูแลเค้าดี ๆ เค้าให้สิ่งดี ๆ กลับมามากมายแน่นอนค่ะ
ข้อเสียเดียวตอนนี้ที่เห็นคือ หมดเงินกับเสื้อผ้าเยอะมากค่ะ ช้อปกระจายแบบ ฉันผอมแล้วจะใส่อะไรก็ได้อะเธอออออออออ
แอ๊ะ !! เกือบลืม รูปเปรียบเทียบระหว่างหุ่นเป้าหมายกับหุ่นปัจจุบันของตัวเอง ครบ 3 เดือนแล้นนนนนน

I AM BUSY GETTING MY DREAM BODY

          ตอนนี้ไปร์ท หนัก 47 สูง 162

รีวิวลดน้ำหนัก

            อาจจะยังไม่เท่ากับเป้าหมาย แต่ว่าเราก็มาไกลพอสมควรค่ะ และก็จะควบคุมอาหาร และออกกำลังกายต่อไป เพราะมันคือ My fit lifestyle ค่ะ
แถม ๆ วิวัฒนาการบิกินี่ของเราค่ะ ฮ่า ๆ อยากบอกว่า 2 รูปนี้น้ำหนักเท่ากันนะคะ 47 Kg. เห็นความแตกต่างไหม เราแค่อยากบอกว่า น้ำหนักน้อยไม่ได้หมายความว่าผอมนะคะ เพราะถ้ามีแต่ไขมัน ไม่มีกล้ามเนื้อ มันก็จะเผละ อย่างในรูปนั่นแหละค่ะ สมัยก่อนเราก็แปลกใจนะคะ ว่าเราก็ผอมนะแต่ทำไมเวลาถ่ายรูปมามันดูอ้วน ๆ บิดจนเอวจะหักก็ยังดูอ้วน ฮ่า ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องบิดเลยค่ะถ่ายหน้า ถ่ายหลัง ถ่ายไงก็สวย คริคริ

รีวิวลดน้ำหนัก

          สุดท้าย อยากฝากบอกว่า ไม่ว่าคุณจะอ้วนหรือจะผอม ความสุขมันอยู่ที่เราคิดนะคะ ถ้าคุณมองกระจก แล้วคิดว่าคุณสวย ไม่ว่าคุณจะอ้วนขนาดไหนคุณก็สวยค่ะ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่สวยถึงคุณจะผอมเป็นนางแบบวิคตอเรีย ซีเคร็ทคุณก็ไม่สวยค่ะ แต่แค่อยากให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพน้า ร่างกายไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะคะ

Self-love is not selfish; you can’t truly love another until you know how to love yourself.

รีวิวลดน้ำหนัก

         จบแล้วค่ะ มือใหม่หัดเขียนครั้งแรก ผิดพลาดยังไงต้องขออภัยด้วยน้า ตั้งใจพิมพ์ทุกตัวอักษร

หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยนะคะ มีอะไรสงสัยถามในคอมเมนต์ได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคำถามค่ะ

ขอขอบคุณคุณไปร์ทที่อนุญาตให้เรานำข้อมูลและภาพประกอบมาเผยแพร่ด้วยนะคะ
ที่มา: สมาชิกหมายเลข 3747687 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ปล. ถ้าอยากเพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย ดื่ม “น้ำขิง” ก็ช่วยได้ดีเลยนะคะ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเองค่ะ ^^

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#Gingen #ขิงผงจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปจินเจนออนไลน์ได้ที่ >> shop.gingen.com

“เคล็ดลับไดเอท” กับ 7 วิธี หยุดความหิว

เวลาที่คุณรู้สึกอยากลุกไปหยิบอาหารมากิน ทั้งๆที่ยังไม่ถึงมื้ออาหาร อาจจะด้วยความเคยชิน หรืออยากกิน แต่จำเป็นต้องควบคุมน้ำหนัก หรือเพื่อสุขภาพของคุณเอง…ลองทำ 7 วิธีนี้ดู รับรองว่าช่วยคุณลืมความหิวได้ไปแน่นอน

1. ออกไปเดินเล่น

มีงานวิจับจากนิตยสาร PLOS ONE พบว่าการเดินเล่นหรือเดินบนลู่วิ่งประมาณ 15 นาที สามารถช่วยยับยั้งความอยากกินของหวานที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เช่นเค้กหรือคุ้กกี้ ได้

2. จิบน้ำบ่อยๆ
การจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ หรือน้ำเปล่าแช่ผลไม้ได้ เช่น มะนาว แตงกวา ทับทิม สตตรอเบอร์รี่ หรือบลูเบอร์รี่ ที่เรียกว่า Infused Water ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยยับยั้งความหิวได้ แถมไม่เพิ่มแคลอรี่ด้วยค่ะ

3. เล่นเกมส์
นักวิจัยให้เหตุผลว่า การเล่นเกมส์หรือดูภาพในวิดีโอเกมส์ จะช่วยให้ลืมมโนภาพของอาหารได้ เรียกว่า ไม่เห็นก็ไม่หิว หรืออาจจะเพราะเล่นเพลินจนลืมความหิวไปก็ได้นะคะ

4. ดื่มน้ำขิง
“ขิง” เป็นสมุนไพรธรรมชาติที่เมื่อกินแล้ว จะช่วยความอยากกินของหวานลดลง เพราะขิงมีสารบางอย่างที่ช่วยระงับอาการอยากน้ำตาลได้ อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาเจียน และต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วยค่ะ

เพียงต้มน้ำร้อนเทใส่แก่้ว แล้วฝานขิงและมะนาวใส่ส่งไป หรือเทขิงผงสำเร็จลงไปในน้ำร้อน แล้วคอยจิบดื่ม รับรองช่วยลดอาการกินจุบจิบได้ชัวร์ค่ะ

5. เคี้ยวหมากฝรั่ง
แนะนำให้เป็นหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล และให้เคี้ยวหลังกินมื้อเที่ยงไปแล้ว 3 ชั่วโมง เป็นวิธีที่นิยมกันมากเพื่อใช้ระงับความอยากอาหารได้ แถมยังช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าของร่างกายได้อีกด้วยค่ะ

6. กลิ่นมะลิช่วยได้
จากงานวิจัยในประเทศออสเตรเลีย พบว่า “กลิ่นดอกมะลิ” ช่วยลดความอยากกินของหวานได้ เพราะฉะนั้นลองพกน้ำหอมกลิ่นมะลิขวดเล็กๆติดตัวไว้ รับรองเวลาหิวจะเป็นตัวช่วยที่ดีของคุณได้ค่ะ

7. นอนงีบสักพัก
มีหลายงานวิจัยชี้ว่า ถ้าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ยับยั้งความอยากอาหารหรือความอยากกินจุบจิบได้ยากขึ้น ดังนั้นหากเรานอนไม่เพียงพอ หรือไม่ครบ 8 ชั่วโมง ก็ลองหาเวลางีบช่วงบ่ายๆสัก 10 – 15 นาทีก็ช่วยได้ค่ะ

จินเจนขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลัง Diet สู้ๆค่ะ คุณทำได้ You can do it!

————————
#ขิงผงจินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ชงดื่มดีมีประโยชน์
#ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปออนไลน์ได้ที่: https://shop.gingen.com

Cr: Sistacafe.com