5 โรคมะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีลักษณะเฉพาะและต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากวัยเยาว์ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ วัยผู้ใหญ่ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ดูธรรมดาอาจเป็นสัญญานของโรคร้ายบางอย่างได้หากไม่รู้เท่าทัน

สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงนั้น รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ชนิดของมะเร็งที่พบผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การรู้จักกับโรคมะเร็งเหล่านี้และรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคได้อย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมาก

มะเร็งเต้านม

เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยความเสี่ยงต่อโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานาน เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และการใช้ชีวิตในแบบที่ทำลายสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย หรือการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงควรสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคมะเร็งเต้านมและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคลำพบก้อนในเต้านมหรือใต้แขน บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม และมีอาการปวดบริเวณเต้านม

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเต้านม

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวนด์ทุก 1-2 ปี

มะเร็งปากมดลูก

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง โดยเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ได้แก่ ช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ รวมถึงการมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้น หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว บางรายมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นผิดปกติ เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกจึงหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกภายใน 3 ปีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปโดยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปีควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้หญิง โดยปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยถูกตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน มีประวัติเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูงและไม่ค่อยรับประทานผัก ผลไม้

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะต้นๆ มักไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งโรคพัฒนาขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกถ่ายไม่หมด ปวดมวนท้องไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปน ลักษณะอุจจาระเล็กเรียวยาวกว่าปกติ รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีภาวะโลหิตจาง

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือวิธีอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 50 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เริ่มมีอายุน้อยลง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองเร็วขึ้นคือเริ่มที่อายุ 40 ปี

มะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นมากในอันดับที่ 4 โดยไม่เพียงเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากคือกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตรวจพบโรคเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่มีอัตราการอยู่รอดห้าปีไม่ถึงร้อยละ 5

เราทราบกันดีว่าสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สัมผัสควันบุหรี่ (second-hand smoking) และผู้ที่เคยรับสารพิษจากการสูดดมเมื่ออายุน้อยๆ ซึ่งอาการของโรคจะปรากฎเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะที่ 3-4 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมะเร็งเกิดที่หลอดลมก็จะมีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอมีเลือดปน

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปอด

หากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เลิกสูบมาไม่เกิน 15 ปี มีบุคคลในครอบครัวสูบบุหรี่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับมลภาวะและสารพิษต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dose computerized tomography หรือ low-dose CT) ซึ่งใช้ปริมาณรังสีน้อยแต่ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงเช่นเดียวกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจจึงมีความปลอดภัยและแม่นยำ

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย โดยสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นผู้หญิงที่มีบุตรน้อยหรือไม่มีบุตร มีประจำเดือนต่อเนื่องแม้จะถึงวัยที่ควรหมดประจำเดือนแล้ว มีภาวะฮอร์โมนผันผวน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้มากขึ้น

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติจึงจำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์หรือใช้วิธีเก็บเซลล์จากโพรงมดลูกไปตรวจ หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางปากมดลูกเพื่อตรวจโพรงมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือมะเร็งหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ภาระกิจ เพิ่มน้ำนมแม่! (เคล็ดลับสำหรับคุณแม่มือใหม่)

คุณแม่ที่กำลังให้นมอยู่ฟังทางนี้จ้า!!
วันนี้จินเจนชวนคุณแม่มาทำ “ภาระกิจเพิ่มน้ำนม” ด้วยกัน!

ถึงแม้ว่าการที่ลูกดูดนมแม่จากเต้านั้นจะเป็นการกระตุ้นน้ำนมไปในตัวอยู่แล้ว แต่คุณแม่ก็ไม่ควรละเลยในการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุง และกระตุ้นน้ำนมให้มีปริมาณมากขึ้น และมีคุณภาพสารอาหารในน้ำนมดีขึ้นด้วย โดยคุณแม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เฉกเช่นเดียวกับตอนที่ลูกน้อยยังอยู่ในครรภ์ แต่ควรเพิ่มปริมาณอาหารจากเดิมเพิ่มขึ้นอีก 500 กิโลแคลอรี่ เพื่อใช้ในการสร้างน้ำนม และบำรุงคุณแม่ให้มีร่างกายที่แข็งแรงนะคะ

ถ้าหากคุณแม่ยังคิดไม่ออกว่าจะรับประทานอาหารแบบใด ปริมาณเท่าไหร่ดี พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช จาก มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณอาหารที่คุณแม่ควรได้รับในแต่ละวันค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูทีละประเภทได้เลยค่ะ

อาหารประเภทแป้ง และคาร์โบไฮเดรต ควรรับประทานวันละ 9-10 ทัพพี

เหล่าธัญพืช เช่น ข้าวโพดและถั่วต่างๆ ควรรับประทานเป็นประจำเพราะให้โปรตีนสูง

อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ควรไม่ติดมัน และรับประทานทานมื้อละ 3-4 ช้อนโต๊ะ

รับประทานอาหารทะเลได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะได้รับกรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของทารกน้อย

ควรได้รับไข่วันละ 1 ฟอง เพราะในไข่มีโปรตีนที่มีคุณภาพ รวมทั้งวิตามิน และเกรือแร่

นมสดควรดื่มวันละ 1-2 แก้ว เพราะมีโปรตีนและแคลเซียมมาก

น้ำสะอาดคือสิ่งที่จำเป็น ควรได้รับอย่างน้อยประมาณวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยหลั่งน้ำนมให้ดีขึ้น

ผักสด ทั้งชนิดใบเขียว ใบเหลืองควรได้รับวันละ 6 ทัพพี เพื่อที่จะได้วิตามิน เกลือแร่ และช่วยในการขับถ่าย

โดยผักและผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ดีให้คุณแม่ได้เลือกหยิบจับไปปรุงอาหารรับประทาน เริ่มจาก ใบกะเพรา, กุยช่าย, กานพลู, ขนุน (เมล็ดต้มสุก), ขิง, ต้นเขยตาย, ผักโขมหนาม, ชบาดอกแดง, ตำลึง, ไทรย้อยใบแหลม, นมนาง และ ผักกาดหอม เป็นต้น

อยากรับประทานขิงแบบง่ายๆ เลือกชงน้ำขิงดื่มจากขิงผงที่ผลิตจากขิงแท้ 100% ก็ได้นะคะ

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#จินเจน #ชงดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ซื้อจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> Gingen Online Shop

11 อ. สูงวัยแบบ STRONG!!

สว. (สูงวัย) ต้องอ่าน!! กฏเหล็ก 11 อ. ที่ผู้สูงวัยต้องมี เพื่อที่จะได้ดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดที่บ้านให้ Strong! ไปด้วยกันนะค่ะ ไปเริ่มกันเลย..

1. อาหาร

เมื่อสูงวัยขึ้น ยิ่งต้องเอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษนะคะ เพราะเป็นวัยที่มีการเสื่อมถอยของระบบย่อยอาหาร และการทำงานของอวัยวะทุกส่วน ดังนั้น การลดปริมาณอาหารลง แล้วทานให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ จะดีต่อร่างกายและอารมณ์มากเลยค่ะ 

2. อากาศ

อะไรจะดีไปกว่าการได้สูดอากาศสดชื่นในสวนสาธารณะในวันหยุด? เพราะอากาศบริสุทธิ์ช่วยฟอกเลือดและนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ และการได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีทุกวัน ยังส่งผลให้อารมณ์แจ่มใส สุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวอีกด้วยนะคะ

3. ออกกำลังกาย

ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 30 นาที)

การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น และยังมีผลต่อกระดูกอย่างเห็นได้ชัด

กระดูกในผู้สูงอายุจะมีสารแคลเซี่ยมลดลง (osteoporosis) ทำให้เนื้อกระดูกบางลง แต่ถ้าผู้สูงอายุมีการออกกำลังอยู่เสมอ พบว่าจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้

4. อนามัย

ผู้สูงอายุควรสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย และจิตใจอยู่เสมอ ถ้าพบความผิดความปกติในระยะเริ่มต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดีและง่ายขึ้นอีกด้วย

5. อาทิตย์

การรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า (อย่างน้อยวันละ 30 นาที) ช่วยป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ “วิตามินดี” แสงแดด ยังสามารถป้องกันโรคซึมเศร้า เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน กล้ามเนื้อให้แข็งแรงได้อีกด้วยนะคะ

6. อารมณ์

การทำสมาธิ หรือโยคะ ส่งผลต่ออารมณ์ที่สงบนิ่ง ช่วยฝึกสติให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และเกิดอาการผ่อนคลาย

เมื่ออารมณ์ดี มีการยิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอ็นโดฟีนแห่ง “ความสุข” ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียดวิตกกังวล และกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น การไหลเวียนโลหิต และร่างกายโดยรวมดีขึ้นอีกด้วยนะคะ

7. อดิเรก

งานฝีมือ ปลูกต้นไม้ เต้นลีลาศ ทำอาหาร ร้องเพลง หรือเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุได้อย่างดี ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำในวันว่าง เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และยังช่วยให้รู้สึกมีคุณค่า ภูมิใจในตัวเองอีกด้วย

ลองมองหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำรักและชอบดูนะคะ

8. อบอุ่น

การฝึกบุคลิกให้เป็นคนโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อคนรอบข้าง เป็นพลังที่ช่วยให้คนอยากเข้าใกล้ รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจได้อย่างดีเลยค่ะ

รู้แล้ว อย่าลืมให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและคนอื่นๆ ดู รับรองว่าจะได้มิตรภาพที่ดีกลับคืนมาอย่างแน่นอนค่ะ 

9. อุจจาระ / ปัสสาวะ

เรื่องการขับถ่ายของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญเพราะอยู่ในชีวิตประจำวัน บางรายเกิดปัญหาถ่ายยาก หรือไม่สามารถกลั้นปัสสาวะเองได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้มีสารพิษตกค้างในร่างกายได้ง่ายๆ การป้องกันที่ดีที่สุด คือฝึกทานผักผลไม้ให้เป็นนิสัย รวมถึงดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ จะช่วยให้ระบบร่างกายภายในดีขึ้นได้

*ผู้หญิงสูงวัยหลายคนมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ หลายคนจึงไม่ชอบดื่มน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะคะ

10. อุบัติเหตุ

ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสายตาสั้นยาว หรือหูผิดปกติ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ จึงควรระมัดระวังการใช้ชีวิตเป็นพิเศษ

หากพบว่ามีความผิดปกติทางร่างกาย ควรหาทางแก้โดยด่วนค่ะ เช่น สายตายาวควรใส่แว่นสายตา รวมถึงดูแลสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย มีแสงสว่างพอเหมาะ พื้นไม่ลื่น มีราวจับบริเวณบันไดและห้องน้ำ เป็นต้น

11. อนาคต

เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น ควรมีการวางแผนคิดถึงอนาคตไว้ด้วย การเข้าร่วมสังคมกลุ่มต่างๆ หรือมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน จะทำให้มีความอบอุ่นไม่เหงาใจ และรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง

รวมถึงวางแผนสำหรับการเตรียมเงิน และที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินชีวิตในอนาคตได้อย่างดีเลยค่ะ

Gingen สนับสนุนให้ สว. มีชีวิตแฮปปี้ ดีต่อใจ ♥

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
ช้อปจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ shop.gingen.com

5 สุดยอดสมุนไพร “แก้ไอ”

อาการไอ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ระคายเคืองทางเดินหายใจออกไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นภูมิแพ้ เช่น แพ้ฝุ่น ควัน สารระคายเคืองต่างๆ หรืออาจเกิดจากการอักเสบและติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ 

ซึ่งวิธีรักษาอาการไอนั้น นอกจากรักษาตามแนวแพทย์แผนปัจจุบัน คุณอาจเลือกใช้วิธีดูแลตนเองด้วย 5 สมุนไพรที่หาได้ใกล้ตัวต่อไปนี้ 

1. ขิง

เป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมาย ผู้คนมักนำเหง้าขิงมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นยา เหง้าขิงมีรสเผ็ดหวาน เหมาะสำหรับนำมาใช้บรรเทา รักษาอาการไอ เจ็บคอ

เพราะในขิงนั้นมีสารสำคัญซึ่งอยู่ในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย เช่น จินเจอรอล (Gingerol) ซิงเจอโรน (Zingerone) โชเกล (Shogoal) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นเหียน แก้อาเจียน แก้ไอ และช่วยขับเสมหะได้ดี 

วิธีใช้: นำเหง้าแก่สด 5 กรัม หรือประมาณ 2 หัวแม่มือ ตำแล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย หรือใช้เหง้าขิงมาฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

นอกจากวิธีดังกล่าว ปัจจุบันยังมีขิงผง หรือขิงสำเร็จรูป ที่สามารถนำมาชงดื่มได้เลย แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีน้ำตาลในปริมาณน้อย

2. ผลมะแว้ง

มีรสขม สารสำคัญที่พบคือ อัลคาลอยด์ (Alkaloid) โซลาโซดีน (Solasodine) และโซลานีน (Solanine) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท และระบบหายใจ จึงช่วยบรรเทาอาการไอ 

นอกจากนี้ ยังมีสารลิกนิน (Lignin) และซาโปนิน (Saponin) ที่ช่วยลดการอักเสบ ละลาย และขับเสมหะได้ดี

วิธีใช้: ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมจะใช้มะแว้งสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาด นำมาเคี้ยวและอมไว้ หรือใช้ผลแก่สด 5-10 ผล นำมาโขลกพอแหลก คั้นน้ำ ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ หรือจิบเวลาที่ไอ

ในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบให้รับประทานได้ง่ายขึ้น คือ ยาอมมะแว้ง ที่มีรสชาติดี ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการไอ ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

3. มะนาว

เป็นพืชที่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ เพิ่มความเปรี้ยวให้อาการประเภทยำ ต้มยำต่างๆ 

นอกจากนี้ น้ำมะนาวยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เนื่องจากในน้ำมะนาวมีกรดอินทรีย์หลายชนิดจึงมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลาย ทำให้ชุ่มคอ จึงช่วยลดอาการไอ กัดเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน 

วิธีใช้: ทำได้หลากหลายแนวทาง เช่น

  • ใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้มะนาวฝานบางๆ จิ้มเกลือรับประทานเวลามีอาการ 
  • ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำมาผสมเกลือ จิบบ่อยๆ
  • นำเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ

4. มะขามป้อม

มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะ รับประทานเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้หวัด แก้ไอ กระตุ้นน้ำลาย ช่วยให้ชุ่มคอ ละลายเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ

วิธีใช้: ใช้เนื้อผลแก่สด ครั้งละประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยว รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ผลสดฝนกับน้ำแทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดจิ้มเกลือรับประทาน

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาจากสมุนไพร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ซึ่งมียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม ใช้จิบเมื่อมีอาการไอทุก 4 ชั่วโมง 

อย่างไรก็ตาม ยาแก้ไอผสมมะขามป้อมนั้นห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำตาล นอกจากนี้ควรระวังการใช้มะขามป้อมในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

5. ฟ้าทะลายโจร

มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) และอนุพันธ์ ซึ่งมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอ ป้องกันและบรรเทาหวัด ลดการอักเสบ

วิธีใช้: ใช้ใบฟ้าทะลายโจรสดหรือแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ ใส่ในแก้ว เติมน้ำร้อนแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วก็นำมารินดื่ม 

เวลาที่เหมาะสำหรับดื่มน้ำสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ ก่อนอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หากรับประทานแบบแคปซูล มีวิธีรับประทานตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานครั้งละ 3-6 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง บรรเทาอาการหวัด 
  • รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน และหากรับประทานแล้วอย่างน้อย 3 วัน อาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง และควรระวังในการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และห้ามใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับแก้เจ็บคอในกรณีต่อไปนี้

  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A)
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคไตอักเสบเนื่องจากเคยติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease: RHD)
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น

อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ มีน้ำมูก หรืออาการต่างๆ ที่เกิดจากหวัด สามารถดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นได้ ด้วยการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย จิบน้ำอุ่น และรับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ หรือรักษา และป้องกันหวัดดังที่กล่าวมาข้างต้น 

แต่นอกเหนือจากนั้น คุณควรสังเกตอาการตนเอง หากรับประทานยาสมุนไพรแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจ วินิจฉัยโรคอย่างแน่ชัด เพื่อให้รักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือโรคที่รุนแรงที่อาจเกิดตามมา

ที่มา: honestdoc
ภาพจาก: freepik

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 วิธี เตรียมตัวแก่แบบเก๋าๆ!

ใครหลายคนอาจจะไม่อยากแก่ เพราะกังวลว่าแก่แล้วร่างกายก็ทรุดโทรมมีแต่โรคมาถามหาเยี่ยมเยือน รวมถึงเรี่ยวแรงที่ถดถอย ทำให้ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับ 5 ข้อนี้ จะทำให้คุณลดความกังวลต่างๆ และกลายเป็น “คนแก่แบบมีคุณภาพ”

แล้วถ้าอยากแก่อย่างมีคุณภาพ ต้องทำอย่างไร?

1. เตรียมความคิดและจิตใจของคุณ
 ก่อนอื่นต้องเริ่มที่ความคิดและจิตใจก่อน เพราะคนสูงวัยจำนวนมาก รู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ค่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้สูงอายุต้องคิดให้ได้ก่อนว่า ตนเองมีคุณค่า มีความรู้ และประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวอันโชกโชน ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตสะสมมา การนำความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ มาค้นหาและทำอะไรสักอย่าง แม้จะดูไม่มากมายนัก แต่ก็สามารถช่วยสร้างความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาได้

2. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดใหม่ ๆ ปรับตัวให้อยู่กับยุคปัจจุบัน และทำความเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้การใช้ชีวิตร่วมกับคนหนุ่มสาว ของผู้สูงอายุง่ายขึ้นมาก เพราะสามารถพูดคุยกันแล้วเข้าใจตรงกันได้ ไม่ใช่คิดกันไปคนละทาง เข้าใจกันไปคนละอย่าง

3. เตรียมพร้อมด้านสุขภาพ  สุขภาพที่ดี จะทำให้เรา แก่อย่างมีคุณภาพ ซึ่งการเตรียมตัวด้านสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในวัยชราของคุณได้  สิ่งที่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมในด้านสุขภาพ ได้แก่ ดูแลสุขภาพทั้งอาหารการกิน  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป  หมั่นตรวจร่างกายประจำปี  งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่

4. เตรียมพร้อมด้านการเงิน ใครๆก็อยากสบายตอนแก่ทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม วัยชรา จะเป็นช่วงที่คุณยังคงมีรายจ่ายอยู่ แต่มีรายได้ต่ำ ไปจนถึงไม่มีรายได้เลย นั่นอาจทำให้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ ดังนั้นการวางแผนการเงินจึงสำคัญ การมีเงินออม จะเป็นหลักประกันว่าคุณจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นคุณควรจะเริ่มออมเงิน สำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณในไว้แต่เนิ่น ๆ

5. เตรียมพร้อมด้านที่อยู่อาศัย เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ย่อมเสื่อมสภาพไปตามอายุ ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตจะลดลง ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านจะสูงขึ้น  การเตรียมบ้านให้พร้อม และเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น และลดการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น มีพื้นต่างระดับให้น้อยที่สุด และ พื้นผิวไม่ลื่น เพื่อป้องกันการลื่นหกล้ม

ความมหัศจรรย์ของ “ขิง”

มาพบกับความมหัศจรรย์ของ “ขิง” ที่ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพมายาวนานกว่าห้าพันปีกันค่ะ

#ขิง #ประโยชน์ของขิง
#Gingen #จินเจน #ขิงผงแท้100%
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ

ใคร 40 อัพ ต้องอ่าน!!
“10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ”

ผู้ใหญ่ในวัย 40 อัพนั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น อ้วนง่าย ผิวมีริ้วรอย อ่อนเพลียไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย ความจำลดลง กระดูกพรุน เป็นต้น วันนี้เราลองมาดู “10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ” กันว่ามีโรคอะไรที่ต้องคอยระวังกันบ้าง

1. โรคเส้นเลือดอุดตัน (Atherosclerosis): ซึ่งแบ่งออกเป็นเส้นเลือดในหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดในสมองอุดตัน โดยโรคนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ การสูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง การไม่ออกกำลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไตรกลีเซอไรด์สูง

2. โรคมะเร็ง (Cancer): ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งมีตั้งแต่กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ คนที่ได้รับแสงแดดน้อยเกินไปหรือมากเกินไป คนที่รับประทานผักหรือผลไม้น้อย การได้รับสารคาซิโนเจน การได้รับสารซีโนเอสโตรเจน
3. โรคสมองเสื่อม (Dementia): สาเหตุของความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุด้วยกัน ตั้งแต่อัลไซเมอร์ พบมากที่สุดประมาณ 60% จากสาเหตุทั้งหมดหรือการถูกทำลายของเซลล์สมองและมีการลดลงของสารสื่อประสาท หรืออาจเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ในสมองอุดตัน ซึ่งพบได้ประมาณ 20% จากสาเหตุทั้งหมด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบมักร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน เป็นต้น
4. โรคอ้วน (Obesity): อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นอัตราการเผาผลาญ อาหารที่รับประทาน กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หรืออาจเกิดจากฮอร์โมน
5. วัยทอง: เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศลดลง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
6. โรคนอนไม่หลับ (Insomnia): สาเหตุหลักๆมาจากคุณภาพการนอนไม่ดี จนทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับแต่หลับไม่ลึก

Osteoporosis concept on white background illustration

7. กระดูกพรุน (Osteoporosis): มีหลายสาเหตุ เช่น ฮอร์โมนลดลง หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางประเภท

8. โรคข้อเสื่อม (Degenerative Joint Disease): สาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนและความเสื่อมชรา
9. ผิวหนังเสื่อมสภาพ (Aging Skin): สาเหตุเกิดจากทั้งภายในและภายนอก เช่น ระดับฮอร์โมนที่ลดลง แสงแดด การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การอักเสบติดเชื้อในร่างกายและมลภาวะเป็นพิษ
10. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย (Chronic Fatigue Syndrome): ซึ่งก็มาจากสุขภาพตามวัย

วิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆที่ทุกคนพอจะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ หรือชะลอความรุนแรงของมัน ก็คือ หลีกเลี่ยง บุหรี่ เหล้า ชา กาแฟ ของหวาน อาหาร ปิ้ง-ทอด และแสงแดดแรงๆ นอกจากนี้เรายังต้องปรับวิธีการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย

Cr: Life Center

#Gingen #ขิงผงจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

สั่งซื้อจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่:
https://shop.gingen.com

6 ข้อ! สร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง

ภูมิต้านทาน คือ เกราะป้องกันสุขภาพตามธรรมชาติ ที่คอยช่วยเหลือไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากง่ายจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกาย

ดังนั้น การมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ จึงมีส่วนช่วยไม่ให้ร่างกายอ่อนแอจากสิ่งเร้าภายนอกต่างๆ ซึ่งการดูแลและเอาใจใส่ภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรงอยู่ตลอด จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งเพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างยาวนาน

 

แล้วเราจะสร้างภูมิต้านทานให้แข็งไรงได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

✅ นอนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชม.
✅ ออกกำลังกาย วันละ 1-3 ชม. อย่างน้อย 5 วัน/ สัปดาห์
✅ ไม่เครียด ไม่หักโหมทำงานหนัก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่
✅ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สด สะอาด
✅ เสริมด้วยผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งของแร่ธาตุ วิตามิน และใยอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซีที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย และต้านโรคหวัด หรืออย่าง ส้ม และฝรั่ง ก็ยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย ช่วยระบายของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกายได้อีกด้วย
✅ ข้อมูลจากกรมอนามัยได้แนะนำให้เสริมภูมิคุ้มกันด้วยผักสมุนไพร อาทิ ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอม กระชาย มะระ ผักหวาน ขี้เหล็ก ใบกะเพรา มะเขือเปราะ และมะนาว สรรพคุณพืชผักสมุนไพรเหล่านี้ มีความเผ็ดร้อน ช่วยบรรเทาอาการของไข้หวัด และเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายได้อย่างดี

เตรียมร่างกายให้พร้อม ก็มีชัยจากเช้าไวรัสและเชื้อโรคทั้งหลายไปเกินครึ่งแล้วค่ะ สู้ๆนะคะทุกคน แล้วเราจะผ่านโรคร้ายๆต่างๆไปด้วยกันอย่างแข็งแรง

#ด้วยความห่วงใย #จินเจน

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

“6 สิ่งมงคล” ที่ควรทำใน “วันตรุษจีน”

วันตรุษจีนนี้ มาดูสิ่งมงคลที่ชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนเชื่อว่าควรทำเพื่อเสริมโชคลาภ และเป็นศิริมงคลกันดีกว่าค่ะ

  1. ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ

เอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไหว้เจ้ากันก่อน วันไหว้เจ้านี้เราจะเรียกว่า “วันซาจั๊บ” การไหว้นั้นเริ่มจากการไหว้เจ้าในบ้าน หรือตีจูเอี๊ยะ และไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นช่วงเที่ยงก็เป็นการไหว้ผีไม่มีญาติ ของไหว้ในช่วงตรุษจีนนั้นมีทั้งอาหารคาวหวานจะมากจะน้อยจัดไปตามแต่ฐานะของผู้ไหว้ เมื่อเสร็จกิจการไหว้ก็ได้เวลาจุดประทัด ตามด้วยนำข้าวสารผสมเกลือมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป

2. ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาพ “ไฉ่ซิงเอี้ย”

เทพเจ้า ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ การตั้งพิธีรับเทพ เปรียบได้กับการทำพิธีรับโชครับทรัพย์ โดยทั่วไปมักทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนยาวไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ ไหว้แล้วก็จะได้เฮงๆ รับทรัพย์กันไปยาวๆตลอดทั้งปี

3. กินเจ มื้อแรกของปี

เช้าวันใหม่ในวันแรกของปีควรเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆด้วยการ การกินเจ เรียกได้ว่า อิ่มบุญกันตั้งแต่ต้นปีกันเลย

4. ใส่ชุดใหม่ สีสันสดใส

การใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ สีสันสดใส จะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่สดใสเข้ามาในชีวิต และสียอดนิยมของเทศกาลนี้ คือ สีแดง สีร้อนแรง สดใส ที่แฝงไว้ด้วยความหมาย ของความมงคล และความมั่งคั่ง

5. ให้ส้มอวยพรผู้ใหญ่

ตามประเพณีของชาวจีน ในช่วงวันตรุษจีน ทุกคนในบ้านจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรจากผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงเอาไว้ 1 พาน พร้อมกับลูกสมอจีนไว้รอรับแขก และเมื่อมีผู้มาอวยพรด้วยส้ม 4 ผล เจ้าบ้านจะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านของตนเองไปใส่คืนไว้ให้แขก 2 ผล เชื่อกันว่าเป็นศิริมงคลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับ

6. รับอั่งเปา

อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องเสริมมงคลในวันตรุษจีนก็คือ การรับอั่งเปาซองแดงจากผู้ใหญ่ ที่จะให้ผู้น้อยเพื่อให้เกิดความโชคดีตลอดปี ก่อนจะรับซองแดงมาอย่าลืมกล่าวคำอวยพรด้วยว่า “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” หรือถ้าอยากอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงก็จัดคำนี้ “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้เกี่ยงคัง”

————————

ช้อปออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> https://shop.gingen.com
Inbox: m.me/gingenthailand
Line: https://lin.ee/lP2ryBp
หรือ 📱 028609788

Cr. Rabbit Daily

ใครบ้างควรดื่มน้ำขิง?

ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยสารอาหาร และ ประโยชน์ต่างๆมากมายในหลายๆด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา เช่น วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนมากอีกด้วย

เรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรอย่างขิงนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง และใครบ้างควรดื่มน้ำขิง

1. คนรักสุขภาพ

หนึ่งในสรรพคุณหลักๆของขิงคือ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้ รวมถึงช่วยป้องกันไข้หวัด ดังนั้นคนรักสุขภาพจึงมักเลือกดื่มทุกเช้าหรือก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน

2. คุณแม่ตั้งครรภ์

การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือนำขิงมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร จะช่วยคุณแม่ได้ตลอดระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะแม่ท้องอ่อนที่เริ่มมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ วิงเวียน ศีรษะ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยในขิงจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ และยังช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับ รวมถึงขิงยังมีธาตุเหล็กสูง ช่วยในการบำรุงเลือด แก้อาการอ่อนเพลียอีกด้วย

3. คุณแม่ให้นม

ตามตำราแพทย์แผนจีนก็ระบุว่า ขิงมีฤทธิ์ร้อน ช่วยในการเผาผลาญ ขับลม ช่วยขับเลือดคาวปลา และช่วยกระตุ้นน้ำนม โดยเฉพาะน้ำขิงร้อนๆ ที่มีฤทธิ์ร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดเข้าไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเลือดที่ไหลเวียนมากขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงต่อมผลิตน้ำนม ทำให้น้ำนมมากขึ้นตามไปด้วย

4. ผู้สูงวัย

เพราะในผู้สูงอายุ ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักประสบปัญหาเกี่ยวกับความไม่สมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกาย ทั้งระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญที่ลดลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุ อ่อนเพลียง่าย นอนไม่หลับ ระบบย่อยอาหารไม่ดี มีภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูกตามมา

“ขิง” ที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยเติมธาตุไฟที่อ่อนลงให้สมดุล ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้คนที่หนาวง่าย “ขิงแก่” แก้ปัญหาท้องผูก จุกเสียดแน่น

5. ผู้หญิงปวดประจำเดือน

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน จึงช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น และการดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงกว่า 150 คนที่ดื่มน้ำขิงชนิดผงปริมาณ 1 กรัมต่อวัน ในช่วง 3 วันแรกของการมีประจำเดือน สรรพคุณของขิงจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. หนุ่มสาวออฟฟิศ

คนวัยทำงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขภาพมากนัก การใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบตลอดเวลา ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคต่างภัยไข้เจ็บต่างๆ

ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย มีฤทธิ์เผ็ดร้อนจึงสามารถนำมาปรุงอาหารและเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่รักสุขภาพได้อีกด้วย ทั้งยังสามารถเป็นยารักษาได้สารพัดโรค ขิงให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายและสมอง ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ, บรรเทาอาการเจ็บปวด, ช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร, ช่วยป้องกันอาการหวัด, บรรเทาอาการไมเกรน

7. นักท่องเที่ยว นักเดินทาง

ปัญหาหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักพบเจอกันเป็นประจำคืออาการเมารถในระหว่างการเดินทาง วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเมารถในขณะเดินทางท่องเที่ยวได้ กับ อาหารแก้เมารถ ที่เราแนะนำให้คุณกินในระหว่างเดินทาง

ดื่มน้ำขิง ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการเมารถเมาเรือได้ แถมยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน การดื่มน้ำขิงระหว่างหรือก่อนเดินทางจึงสามารถช่วยปรับธาตุและลดอาการเมารถได้

8. คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ขิง ช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายเหมาะสม อุณหภูมิในร่างกายของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่หากอุณหภูมิในร่างกายของเราลดลงต่ำกว่า 37 จะทำระบบการย่อยหรือการเผาผลาญพลังงานไม่สมบูรณ์ ทำงานได้ไม่เต็มที่ การดื่มน้ำขิงจะเข้าไปช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้กลับเข้าที่เข้าทางทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไปได้มากขึ้น

จากสรรพคุณที่มากมายของขิง ทั้งช่วยเรื่องวิงเวียน แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้เมารถเมาเรือ ช่วยเรื่องการไหลเวียนของน้ำนมแม่ รวมถึงช่วยเผาผลาญไขมันลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิต และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้อีกด้วย!!

ประโยชน์มากมายขนาดนี้ มีขิงผงชงพร้อมดื่มไว้ติดบ้านไว้บ้างก็ดีนะคะ ^^

————————
#ขิงผงจินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ชงดื่มดีมีประโยชน์
#ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปออนไลน์ได้ที่: https://shop.gingen.com

Cr: medthai.com