6เทคนิคการดูแลผิวในหน้าฝน

1.ล้างหน้าทันทีหลังตากฝนสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง เชื้อโรคมักจะมากับน้ำฝน โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวก็มักจะชอบอากาศชื้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าต้องตากฝน ก็ต้องรีบล้างหน้าทันทีที่ถึงบ้านเลยนะคะ

2. ล้างหน้าด้วยคลีนซิ่ง

เวลาเราโดนฝนสิ่งสกปรกที่อุดตันจะทำให้เกิดสิวได้ง่าย จากเชื้อแบคทีเรียสะสมและน้ำมันส่วนเกิน การล้างด้วยน้ำเปล่าจึงไม่เพียงพอ คลีนซิ่งจึงช่วยทำความสะอาดได้หมดจดมากขึ้นค่ะ

3.ทาครีมกันแดดเป็นประจำ

บางวันที่ไม่มีแดดร้อนๆให้เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีรังสียูวีนะคะ และก็ยูวีนี่แหละเป็นตัวการทำร้ายผิว อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น เราจึงไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดดนะคะ แต่หน้าฝนแบบนี้ก็เลือกกันแดดแบบกันน้ำจะได้ไม่หลุดเมื่อต้องเจอกับละอองฝนค่ะ

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เราควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้น้ำช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย และเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวนะคะ

5. เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยขึ้น

อย่าลืมว่าแบคทีเรียจะเติบโตได้ดีในอากาศชื้น เพราะฉะนั้นปลอกหมอนที่ต้องสัมผัสกับผิวหน้าเราทุกวัน จึงต้องสะอาดไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคค่ะ

6. สครับผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละ1 ครั้ง

ข้อนี้สาวๆบางคนทำเป้นประจำอยู่แล้ว แต่บางคนที่ไม่ค่อยได้ทำ ช่วงหน้าฝนแบบนี้ที่สิ่งสกปรกที่มาพร้อมละอองฝนอาจจะมาอุดตันผิวของเราได้ง่ายขึ้นการสครับผิว หรือการมาส์กหน้าก็จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกเหล่านั้นได้อย่างสะอาดหมดจดมากขึ้นค่ะ

ชอบข้อไหนก็ทำข้อนั้น ไม่ก็…ทำมันทุกข้อเลยย อิอิ

#ป้าเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก Watsons
———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี

ปัญหาทางด้านสุขภาพอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางคนอาจไม่ได้เจ็บป่วยอะไรร้ายแรงก็ยังใช้ชีวิตในลักษณะเดิมโดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายจากภัยของโรคที่ยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งรู้ในภายหลังก็อาจช้าเกินไป เพราะบางโรคอาจไม่แสดงอาการผิดปกติในช่วงแรก หรืออยู่ในระยะที่โรคสงบ


.
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการช่วยหาต้นตอของโรคหรือความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้ถึงสภาพร่างกายขณะนั้นว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพและไม่ไปเร่งการพัฒนาโรคให้เกิดขึ้น ในรายที่มีความเสี่ยงต่อโรคสูงเป็นทุนเดิมก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคให้หายขาดได้มากขึ้นหากตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ระดับคอเลสเตอรอล

ควรเริ่มมีการตรวจระดับคอเลสเตอรอลตั้งแต่อายุ 20 ปี ไปจนถึงอายุ 45 ปี และมีการตรวจซ้ำในคนที่มีระดับคอเลสเตอรอลปกติทุก 5 ปี แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต หรือมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการกินและเรื่องน้ำหนัก ควรเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุน้อย ๆ หรือตรวจเป็นระยะ


การฉีดวัคซีน

– ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดทุกปี

– ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับการฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคบาดทะยัก โรคคอตีบ โรคไอกรน (Tdap) และควรมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี

– ผู้ที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2523 และไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) 2 เข็ม ซึ่งปกติจะได้รับการฉีดให้ตั้งแต่ในเด็ก

– ผู้ที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2499 ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) อย่างน้อย 1 เข็ม

– ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-26 ปี ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus: HPV) หรือตามคำแนะนำของแพทย์

– วัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงของโรคนั้น ๆ สูง แพทย์จะเป็นผู้ประเมินก่อนที่จะมีการฉีดให้ เช่น โรคปอดบวม

– ควรมีการฉีควัคซีนป้องกันโรคงูสวัด 1 ครั้ง หลังจากอายุ 60 ปี

– ในกรณีที่มีความเสี่ยงโรคตับ ควรมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ

การตรวจภายในและการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีแปปสเมียร์

ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปี ควรมีการตรวจเป็นประจำทุก 3 ปี เพื่อตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก หากผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ผลการตรวจออกมาเป็นปกติ ควรตรวจทุก 5 ปี แต่ในรายที่เข้ารับการผ่าตัดมดลูกหรือปีกมดลูกออกก็อาจไม่มีความจำเป็นในการตรวจ นอกจากนี้ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 25 ปี ควรเข้ารับการตรวจเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในแท้และหนองในเทียม

นอกจากนั้นผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ก็มีการแนะนำให้ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรเริ่มมีการคัดกรองโรคมะเร็งต่อมลูกหมากทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้ ด้วยวิธีการหาสารชี้บ่งมะเร็งต่อลูกหมาก (PSA) โดยเข้ารับการตรวจในช่วงอายุน้อย ๆ ก่อนช่วงอายุที่บุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งนะคะ
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาความผิดปกติของร่างกายได้ตั้งแต่ในระยะแรก และยังช่วยให้ทราบถึงสภาพร่างกายในขณะนั้นว่าเป็นปกติดีหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดโรคใด ๆ ในอนาคต แม้ว่าผลการตรวจจะออกมาเป็นปกติ เพราะการตรวจสุขภาพเป็นเพียงการคัดกรองโรคเบื้องต้นในช่วงเวลาที่ตรวจเท่านั้น แต่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีการดูแลตนเองมากขึ้น ไม่ชะล่าใจปล่อยปะละเลยหรือเพิ่มความเสี่ยงอื่น ๆ ที่เอื้อต่อโรคให้ตนเอง

การตรวจมะเร็งเต้านม

ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20-40 ปี ควรมีการตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละ 1 ครั้ง และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม ควรได้รับการตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรม (Mammogram) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งก่อนช่วงอายุที่บุคคลในครอบครัวตรวจพบโรคนี้ ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงของโรคมะเร็งในปัจจัยอื่น ๆ อาจเข้ารับการตรวจเต้านมด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์ (Breast Ultrasound) หรือ เอ็มอาร์ไอ (MRI Scan) เพิ่มเติม ส่วนผู้หญิงทั่วไปควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ไปจนอายุ 70 ปี

การตรวจคัดกรองโรคปอด

ในประเทศไทยมีการตรวจคัดกรองโรคทางด้านปอดด้วยวิธีการเอกซเรย์ปอดเป็นหลัก เช่น วัณโรคปอด หลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็งปอด แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปริมาณรังสีต่ำ (Low-Dose Computed Tomography: LDCT) สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 55-80 ปี มีประวัติการสูบบุหรี่มานานกว่า 30 ปี และยังคงสูบบุหรี่หรือเลิกสูบได้ไม่นาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอด

การตรวจทางด้านสายตา

ควรมีการตรวจสายตาทุก 2 ปี หรือตรวจถี่มากขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อพบปัญหาในการมองเห็น เช่น อาการผิดปกติทางสายตา มีความเสี่ยงโรคต้อหิน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีการตรวจสายตาทุกปี

แต่ละบุคคลมีปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน เมื่อเข้ารับตรวจสุขภาพทุกครั้ง แพทย์จะมีการตรวจร่างกายทั่วไปก่อนเสมอ โดยดูน้ำหนัก ความสูง ประเมินภาวะอ้วนและผอม (BMI) ตรวจดูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหัวใจ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ตลอดจนการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับการตรวจ ไม่ว่าจะเป็นอายุ ประวัติการป่วยของบุคคลในครอบครัว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย อาหารการกิน

โรคเบาหวาน

ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ควรเข้ารับการตรวจโรคเบาหวานอย่างน้อยทุก 3 ปี แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีภาวะความดันโลหิตสูง (135/80 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป) มีภาวะอ้วน (วัดค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ได้สูง) ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ควรมีการตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น เคยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคก่อนอายุ 50 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-75 ปี ควรเข้ารับการตรวจโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ทุกปีด้วยการตรวจอุจจาระ การตรวจด้วยวิธีการส่องกล้องทุก 5 ปี และตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดทุก 10 ปี นอกจากนี้ในรายที่มีความเสี่ยงของโรคสูงอาจต้องได้รับการตรวจบ่อยขึ้น

การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุน

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ควรมีการตรวจสอบความหนาแน่นของกระดูกด้วยเทคนิค DEXA โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น การสูบบุหรี่ การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ดื่มแอลกอฮอล์หนัก มีการบาดเจ็บที่กระดูก หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน

ความดันโลหิต

ผู้ใหญ่ที่มีค่าความดันโลหิตปกติ (120/80 มิลลิเมตรปรอท) ควรมีการตรวจความดันโลหิตทุก 3-5 ปี สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้ที่วัดค่าความดันโลหิตค่าบน (Systolic) ได้ระหว่าง 120-139 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตค่าล่าง (Diastolic) ได้ระหว่าง 80-89 มิลลิเมตรปรอท ควรมีการตรวจวัดความดันปีละ 1 ครั้ง แต่หากวัดความดันโลหิตค่าบนได้มากว่า 140 มิลลิเมตรปรอทและความดันโลหิตค่าล่างได้มากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอทควรตรวจให้บ่อยขึ้นตามคำแนะนำแพทย์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pobpad.com

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

เตือนโรคอันตรายในฤดูร้อน

เตือนโรคอันตรายในฤดูร้อน

ขอต้อนรับเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการจ้าาา…

อากาศร้อนแบบนี้มันเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคมากเลยนะคะ โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคในหน้าร้อน เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด โรคไข้ไทฟอยด์ โรคอหิวาตกโรค และโรคพิษสุนัขบ้า และสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมักมาจากน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด และอาหารเสีย

เรามาดูกันดีกว่าว่าฤดูร้อนนี้ มีโรคที่เราต้องระมัดระวังกันบ้างนะคะ

โรคบิด เกิดจากเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหารเช่นเดียวกัน ผู้ป่วยจะถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง และรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด

โรคอาหารเป็นพิษ จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งพบได้มากในช่วงหน้าร้อนสาเหตุสำคัญเกิดจากการทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารพิษที่เกิดจากเชื้อบิด เชื้อสแตปฟีโลคอกคัส และเชื้อบาซิลลัส ซึ่งมักเป็นสารที่ทนต่อความร้อน พบบ่อยในอาหารประเภทไส้กรอกกุนเชียง ข้าวผัดต่าง ๆ ถึงจะกินอาหารที่สุกร้อนแล้ว แต่หากส่วนผสมก่อนนำมาปรุงอาหารเกิดบูดเสียก่อน ก็จะเกิดอาการเป็นพิษได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ หรือปวดเมื่อย อ่อนเพลีย จนถึงท้องร่วงจากสารพิษที่ทนความร้อน

โรคไข้ไทฟอยด์ หรือที่รู้จักกันว่า ไข้รากสาดน้อย เชื้อปนเปื้อนมาเหมือนกับโรคอื่น ๆ อาหารส่วนใหญ่ที่มักพบว่าทำให้เกิดโรค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ น้ำ ผู้ป่วยโรคนี้ สัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการหนาวสั่นได้ ซึมลง และมีอาการเพ้อ

โรคอุจจาระร่วง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อหลายประเภททั้งแบคทีเรีย ไวรัส และกลุ่มเชื้อโปรโตซัว ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่มีโอกาสบูดเสียได้ง่ายในอากาศที่ร้อนจัด และเมื่อรวมกับสุขอนามัยที่ไม่สะอาดแล้ว สามารถเกิดการเจ็บป่วยของโรคอุจจาระร่วงในหน้าร้อนนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชน เชื้อแบคทีเรียบางชนิดเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง มีอาการขาดน้ำ สูญเสียเกลือแร่ หากอาการไม่รุนแรงก็สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้เองด้วยผงเกลือแร่ผสมน้ำดื่ม แต่ไม่แนะนำให้ซื้อยาปฏิชีวนะมาทานเอง ควรปรึกษาแพทย์

โรคอหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกายโดยทางอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เชื้อจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื้อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นสีน้ำซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้

โรคลมแดดเกิดจากความล้มเหลวในการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ (thermoregulation) ส่งผลให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการต่างๆ ซึ่งหากอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

โรคลมแดดไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่สัมผัสกับอากาศร้อน แต่เกิดขึ้นจากการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดเป็นเวลานานหรือใช้กำลังกายในอุณหภูมิที่ร้อนสูง ซึ่งเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น อาจเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนแรงและคลื่นไส้ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น สับสน พูดไม่ชัดเจน กระสับกระส่าย หรือเห็นภาพหลอน หากรุนแรงมากอาจทำให้เกิดการชักเกร็งและมีอาการโคม่าได้ในที่สุด สังเกตได้ว่าเมื่อสัมผัสผู้ที่มีอาการจะพบตัวร้อนมากและมีผิวสีแดงกว่าปกติ (flushing)

ผู้ป่วยโรคลมแดดควรได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเป้าหมายของการรักษาคือการลดอุณหภูมิภายในร่างกายของผู้ป่วย เช่น การใช้น้ำพรมตามร่างกายและใช้พัดลมเป่าให้น้ำระเหย หรือการใช้ถุงน้ำแข็งประคบตามรักแร้ คอ หลังและขาหนีบ

โรคที่เกิดจากสัตว์เลี้ยง เช่น โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี โดยมีพาหะหลักจากสุนัข แมว ที่นำเชื้อไวรัสเรบี่ส์ ซึ่งอาจกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผล ที่สำคัญเชื้อไวรัสเรบี่ส์นี้ เมื่อปรากฏอาการของโรค จะเสียชีวิตทุกราย ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคนี้ ควรหลีกเลี่ยงการโดนสุนัขกัดหรือโดนทำร้าย

ขอขอบคุณข้อมูลจากกรมควบคุมโรค

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ผิวสวยหน้าใสด้วยสมุนไพร

สาวๆจ๋าาา!!

ถ้าอยาก “ผิวสวยหน้าใส” แบบ #ไม่ต้องกลัวของปลอม ฟังทางนี้เลย!!

วันนี้ป้าเจนเอา 7 สูตรผิวขาวด้วยสมุนไพร มาฝากทุกๆคน ที่พร้อมไปด้วยสรรพคุณสุดเริด! ทั้งช่วยดูแล กระชับผิว ฟื้นฟูและบำรุงผิวหน้า ที่สำคัญราคาไม่แพง หาง่าย แถมยังทำเองได้ที่บ้านได้อีกด้วย ปะ..ไปดูกันเลยจ้าาา 😀

1. น้ำแตงกวา ช่วยลดเลือนรอยตีนกาทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์

คุณสาว ๆ ที่กำลังกลุ้มใจกับริ้วรอยตีนกาที่ทำให้ดูแก่กว่าวัย ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ แค่ใช้แตงกวาในตู้เย็นเป็นตัวช่วย ง่าย ๆ เพียงนำแตงกวามาคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นตำเนื้อให้ละเอียดเพื่อคั้นเอาน้ำที่ได้มาทาผิวบริเวณที่เกิดริ้วรอยลึก ซึ่งในแตงกวามีปริมาณน้ำมากกว่า 95% จึงมีสรรพคุณช่วยรักษาและเติมเต็มความชุ่มชื่นให้ผิวแห้งกร้านกลับมานุ่มชุ่มชื่นดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคย

2.น้ำแครอท ปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย

คุณสาว ๆ ที่ไม่อยากผิวหมองคล้ำเพราะผิวถูกแสงแดดทำร้าย แนะนำให้ดื่มน้ำแครอทเป็นประจำนะคะ เพราะในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวีสาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยและตีนกา และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวพรรณสดใสดูมีชีวิตชีวา วิธีทำน้ำแครอทก็ไม่ยากเลยค่ะ เพียงนำเนื้อแครอทที่ปอกเปลือกล้างสะอาดและหั่นเรียบร้อยแล้วปริมาณ 5 ช้อนโต๊ะมาปั่นรวมกับน้ำมะนาวคั้นสด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก 1 ½ ถ้วย และเกลือ ½ ช้อนชา จากนั้นคั้นเอากากออกก็จะได้น้ำแครอทสูตรปกป้องและฟื้นฟูผิวจากการถูกแสงแดดทำร้ายได้แล้วล่ะ

3.ชาดอกคาโมมายล์ เสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ผิว

ชาดอกคาโมมายล์ มีสรรพคุณช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ผิว และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวหยาบกร้านให้กลับมาเนียนนุ่มแลดูอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากเชื้อแบคทีเรีย เพียงคุณสาว ๆ ดื่มชาดอกคาโมมายล์ที่ชงจากดอกคาโมมายล์อบแห้ง 5 กรัมในน้ำร้อน แล้วเติมความหวานด้วยน้ำผึ้ง ชงดื่มเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง ผิวนุ่มชุ่มชื่นและเรียบเนียนน่าสัมผัส

4.ตะไคร้ กระชับรูขุมขนช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน

บอกลาปัญหารูขุมขนกว้างไปได้เลยค่ะ ด้วยน้ำมันตะไคร้ที่มีสรรพคุณช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยขจัดแบคทีเรียให้หลุดออกไปจากใบหน้าได้อย่างง่ายดาย คุณสาว ๆ สามารถทำน้ำมันตะไคร้ใช้เองที่บ้านได้ โดยการนำก้านตะไคร้ 1 ก้านมาหั่นแล้วตำให้แหลก จากนั้นนำน้ำมันรำข้าว 1 ถ้วยมานึ่งให้ร้อนโดยใช้หม้อไอน้ำสองชั้น เทตะไคร้ที่ตำแหลกแล้วใส่ลงไป นึ่งทิ้งไว้ 60 นาที แล้วนำมาทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นกรองเอาเศษตะไคร้ออกแล้วกรอกใส่ขวด แล้วนำน้ำมันตะไคร้ประมาณ 1-2 หยดมาผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก เพียงเท่านี้ผิวหน้าของคุณสาว ๆ ก็จะกระชับเนียนนุ่มมากกว่าที่เคยแล้วค่ะ

5.ว่านหางจระเข้ ช่วยสมานแผลเป็นเผยผิวขาวใสไร้จุดด่างดำ

หากคุณสาว ๆ อยากมีใบหน้าและผิวกายใสวิ้งเปล่งประกายความสดใส ไร้สิว จุดด่างดำและแผลเป็น ขอแนะนำให้นำเจลว่านหางจระเข้สด ½ ถ้วย, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ มาผสมให้เข้ากันใช้ขัดผิวหน้าและลำตัว สูตรนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวได้ล้ำลึก ลดเลือนแผลเป็น ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม

6.ขมิ้นชัน มาสก์หน้าช่วยลดความหมองคล้ำและลดเลือนรอยดำรอบดวงตา

สูตรนี้เหมาะสำหรับคุณสาว ๆ ที่อยากมีใบหน้าขาวกระจ่างใส โบกมือลาใบหน้าหมองคล้ำและขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ด้วยสูตรมาสก์หน้าขมิ้นชัน โดยใช้ส่วนผสมขมิ้นชัน 1 ช้อนชาและน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาคนให้เข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ เทโยเกิร์ต 1 ช้อนชาลงไป คนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วนำมาทาทิ้งไว้บนใบหน้า รอบดวงตาและลำคอ ทิ้งไว้นาน 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นสูตรนี้นอกจากจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกเผยผิวขาวมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบของสิวได้ดีอีกด้วยค่ะ

7. ขิงสด

ฝานบางๆ ผสมกับ oil ชโลมผิวไว้เป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความอ่อนนุ่มของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นในผิว

อีกวิธีคือ ใช้ขิงสดทุบให้แตกพอหยาบ ผสมกับน้ำผลไม้ น้ำมันงา วิตามินอี น้ำมันเมล็ด แอปริคอท นำส่วนประสมทั้งหมดมาตั้งไฟเคี่ยวให้อุ่นพอประมาณ จะได้น้ำมันขิงที่มีอุดมคุณค่า เทียบเท่าเครื่องสำอางบำรุงผิว เหมือนแบร์นชั้นนำ เราสามารถเก็บไว้ใช้เป็นโลชั่นบำรุงผิวที่ทำเอง สามารถใช้ทาผิวได้บ่อยตามที่ต้องการ

#ป้าเจน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก bumrungrad.com
———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ทำสมาธิช่วยรักษาโรคได้

รู้มั้ยว่า? “การนั่งสมาธิ” นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสติ และฝึกความอดทนได้แล้ว

ยังช่วยแก้ปัญหาสุขภาพภายในร่างกายเราได้อีกด้วย แถมยังสามารถทำได้ง่ายๆ ทุกที่ ทั้งท่าเดิน ยืน นั่ง และนอนเลยจ้า

ส่วนจะมีท่าอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

1.ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาระดับศีรษะ
หายใจเข้าและลดมือลง พร้อมกับเป่าลมออกทางปากช้าๆ
*ทำประมาณ 40 ครั้ง
*สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย เช่น มะเร็ง อัมพาต ผู้ติดเชื้อ HIV

2. ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาระดับเอว
ค่อยๆ ขยับฝ่ามือเข้าประกบกันพร้อมกับหายใจเข้า
ขยับฝ่ามือออกจากกันพร้อมเป่าลมออกทางปากช้าๆ
*ทำประมาณ 30-40 ครั้ง

3. ยืนในท่าสบาย นำมือ 2 ข้างไว้ด้านหลัง เก้าเท้าไปด้านหน้า
ยกเท้าขึ้น แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ

จากนั้นวางเท้าลง พร้อมกับเป่าลมออกทางปาก
*ทำ 90-120 ครั้ง
*ช่วยเรื่องโรคทางพันธุกรรมและผู้ที่ปัญหาเกี่ยวกับกระดูก

4. ยืนตรง ชูมือ 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ
ยกต้นแขนแนบที่ใบหู และนิ้วโป้งทั้ง 2 แตะกัน
สูดหายใจเข้าลึกๆ และกลั้นหายใจ 3 วินาที แล้วเป่าลมออกทางปากอย่างช้าๆ
ค้างไว้ 30 วินาที จากนั้นค่อยๆ เอามือลงช้าๆ

*ทำวันละ 20-30 ครั้ง
*เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมัน ความดันโลหิต เบาหวาน และอาการปวดเมื่อยตามต้นคอได้

5. เตรียมนั่งท่าตามสบาย หลับตา สูดหายใจเข้าลึกๆ
กลั้นหายใจประมาณ 3 วินาที และเป่าลมออกทางปากอย่างช้าๆ
*ทำวันละ 20-30 ครั้ง
*จะช่วยให้อาการเจ็บป่วยดีขึ้นได้

6.นั่งเหยียดเท้าราบกับพื้น หลังตรง และวางมือทั้ง 2 ข้างไว้ที่หัวเข่า
แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า
สูดหายใจเข้าลึกๆ และกลั้นหายใจประมาณ 3 วินาที
จากนั้นเอนตัวไปด้านหลัง พร้อมเป่าลมออกทางปาก
*ทำวันละ 20-30 ครั้ง
*เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อ และข้อต่อ


‘การพัก’ ไม่ใช่ ‘การเสียเวลา’
‘การพัก’ มักทำให้เกิด ‘การเริ่มต้นที่ดี’ 💪🏻

———————————————————

ขอบคุณข้อมูลจาก แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com

#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ป้าเจนขอแนะนำเทคนิคการดูแลตัวเองในยุค 4.0

วันนี้ป้าเจนขอแนะนำเทคนิคการดูแลตัวเองในยุค 4.0 👍

ที่เริ่มต้นง่ายๆ ที่ทำให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง จิดใจแจ่มใส่เบิกบาน 😊😊
มีอะไรไปบ้างไปดูกัน ✌

1. อาหารสุขภาพ
การรับประทานอาหารที่ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ ด้วยการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานมากจำพวกแป้ง น้ำตาลและไขมันในตอนเช้า และรับประทานอาหารที่มีส่วนซ่อมแซมและต่อต้านอนุมูลอิสระ อันได้แก่ โปรตีนและพืชผักผลไม้สด ในตอนเย็น โดยมีสโลแกนง่าย ๆ ว่า มือเข้ารับประทานอย่างราชา มื้อกลางวันแบบคนธรรมดา และมื้อเย็นแบบยาจก รวมไม่รับประทานอาหารที่เค็มจัดและหวานจัด และไม่บริโภคแอลกอฮอล์


2. ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและช่วยในการไหลเวียนของโลหิต มีการศึกษาวิจัยพบว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยเฉพาะการเดินนั้นจะช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนต่อต้านความแก่ชราด้วย

3. นอนหลับสนิทก่อนเที่ยงคืนในความมืด
การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอตามวงจรชีวิต ที่เรียกว่า นาฬิกาเวลาหรือ Biological clock นั้น จะมีผลทำให้มีการผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ที่ป้องกันและต่อต้านการแก่ชรามีการผลิตออกมาอย่างสมบูรณ์เต็มที่ จึงควรจะเข้านอนให้สามารถหลับสนิทในความมืดโดยประมาณก่อนเที่ยงคืน และควรจะใช้วิธีการตามธรรมชาติต่างๆ เพื่อทำให้นอนหลับโดยไม่ต้องใช้ยาระงับประสาทที่จะมีผลต่อการผลิตฮอร์โมนบางชนิดเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานการเข้านอนให้หลับสนิทก่อนเที่ยงคืนจึงเป็นรากฐานของการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แบบวิธีหนึ่ง

4. อารมณ์แจ่มใส มองโลกในทางบวก
การมีอารมณ์ที่แจ่มใส การฝึกคิดในทางบวก และการมองโลกในแง่ดี จะทำให้เกิดการหลั่งสารแห่งความสุข ที่เรียกว่า “เอ็นโดฟิน” ออกมาที่จะทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้เต็มที่ และกระตุ้นให้มีการผลิตฮอร์โมนต้านความชรา รวมทั้งทำให้การย่อยอาหารสมบูรณ์ เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารดีและครบถ้วนย่อมเป็นรากฐานของการมีสุขภาพดี

5. ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรัก
การมีชีวิตอยู่ด้วยการมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งรอบตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และให้อภัยกันและกัน เมื่อเกิดความผิดพลาดนั้นจะทำให้จิตใจเกิดความปิติสุขในการดำรงชีวิตอันเป็นรากฐานทางจิตใจที่จะทำให้มีสุขภาพดี

#ป้าเจน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก bumrungrad.com
———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

6 โรคร้ายถามหา ถ้าดื่มน้ำน้อย

คุณผู้หญิงคะ คุณเป็นคนที่ดื่มน้ำน้อยรึเปล่า?…ถ้าใช่ ป้าอยากให้คุณลองอ่านเรื่องนี้นะคะ เพราะถ้าคุณดื่มน้ำน้อยจนเป็นโรค “ขาดน้ำ” คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้ตามมาได้ง่ายๆเลยค่ะ

ใครจะไปเชื่อว่าดื่มน้ำน้อยก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมได้ เพราะเมื่อร่างกายของเราขาดน้ำ ปริมาณของน้ำในร่างกายไม่เพียงพอ เมื่อเลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกไม่สดชื่น เนือยๆ คิดอะไรช้า ไม่กระฉับกระเฉง นั่นอาจเป็นผลมาจากแค่การ “ดื่มน้ำน้อยเกินไป” ก็เป็นได้ค่ะ

เชื่อหรือไม่ว่ากระดูกอ่อนในหลายๆส่วนของร่างกาย รวมไปถึงหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ และเกิดอาการผิดปกติได้ง่าย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 80% ดังนั้น หากข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกแห้ง ไม่ชุ่มชื้นเพียงพอ อาจทำให้ข้อต่อต่างๆดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ จนเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย หรืออาจอักเสบได้ง่ายเมื่ออกแรงเดิน ยก เหวี่ยง หรือแม้แต่ตอนออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก

แน่นอนที่สุดว่าหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลไปถึงการย่อยในกระเพาะอาหารที่ทำได้ยากลำบากมากขึ้น และลำไส้ที่แห้งอาจทำให้เราไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ เพราะอุจจาระแห้งจนเกินไป เมื่อของเสียสะสมอยู่ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายไปอีก ยิ่งทำให้เลือดมีของเสีย และข้นหนืดกว่าเดิม อุจจาระก็แข็งแห้งกว่าเดิม จนเกิดเป็นอาการท้องผูก และท้ายที่สุดลงเอยด้วยโรคริดสีดวงทวาร

หากคุณมีอาการปวดปัสสาวะ แต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา หรือไหลออกมาเพียงหยดสองหยด คุณอาจกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การติดเชื้อ และการกลั้นปัสสาวะนานๆ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหากคุณดื่มน้ำน้อย อาจจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคอ้วนได้ เพราะหากคุณดื่มน้ำอย่างเพียงพอในตอนเช้า ระหว่างมื้อกลางวัน และตอนเย็น หรืออาจดื่มน้ำหนึ่งแก้วก่อนทานอาหาร คุณจะพบว่าคุณอิ่มง่าย อิ่มเร็วกว่าทานอาหารโดยไม่ดื่มน้ำเลย ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่กินจุอยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่ดื่มน้ำอีก ด้วยความหิวหรือความอยากอาหาร คุณอาจทานเพลินจนน้ำหนักขึ้นได้ง่ายๆ

ประจำเดือนของคุณผู้หญิงเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพได้ดีอีกอย่างหนึ่ง หากคุณพบว่าคุณมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ขาดๆหายๆ มีน้ำมากเกินไป มาเป็นลิ่มเลือด หรือแม้กระทั่งปวดท้องประจำเดือนมาก สาเหตุสำคัญที่คุณอาจละเลยอาจมาจากการดื่มน้ำน้อยก้เป็นได้ พราะเมื่อน้ำในร่างกายมีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจึงไม่สามารถนำน้ำไปสร้างเป็นระจำเดือนได้นั่นเอง

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.Gingen.com


#จินเจน #Gingen #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ขิงผงสำเร็จรูปจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

#ขิงผง100% #ขิงผงไม่มีน้ำตาล #ขิงผสมมน้ำตาล #ขิงยอดนิยม #ขิงเข้มข้น #ขิงเพิ่มน้ำนม #ขิงสำหรับคุณแม่

#ประโยชน์ของขิง #สมุนไพรขิง #ขิงยาอายุวัฒนะ #ขิงทำอาหาร

#ขิงช่วยเผาผลาญ #ขิงลดความอ้วน#ขิงแก้เมารถ #ขิงแก้เมาเรือ #ป้าเจน

9 อาการเหล่านี้ เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการ ขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย

โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่นเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง

สาเหตุของโรคเบาหวานนั้น นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย และผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง

ที่นี้เรามาเช็คดูกันดีกว่าว่าอาการทั้ง 9 อาการนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานมีอะไรกันบ้าง…และถ้าพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดนะคะ ป้าเจนเป็นห่วงค่ะ ^^

รักตัวเอง ดูแลตัวเองให้เป็นทั้งกายและใจด้วยนะ ^^

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com


#จินเจน #Gingen #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ขิงผงสำเร็จรูปจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

#ขิงผง100% #ขิงผงไม่มีน้ำตาล #ขิงผสมมน้ำตาล #ขิงยอดนิยม #ขิงเข้มข้น #ขิงเพิ่มน้ำนม #ขิงสำหรับคุณแม่

#ประโยชน์ของขิง #สมุนไพรขิง #ขิงยาอายุวัฒนะ #ขิงทำอาหาร

#ขิงช่วยเผาผลาญ #ขิงลดความอ้วน#ขิงแก้เมารถ #ขิงแก้เมาเรือ #ป้าเจน

หวาน มัน เค็ม ใครร้ายกว่ากัน

ชานมไข่มุก หมูกรอบ ยำไข่แดงเค็ม ปูไข่ดอง หมูกระทะ ชาบู เมนูยอดฮิต ติดกระแสสุดๆในตอนนี้ ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม “หวาน-มัน-เค็ม” ถูกปากตรงใจใครหลายๆคน

แต่ภายใต้รสชาติแสนอร่อยนั้นก็ซ่อนอันตรายเป็นตัวร้ายที่อาจก่อให้เกิดโรคได้ หากบริโภคเกินความจำเป็นจนร่างกายสะสมมากจนเกินไป

วันนี้ป้าเจนจึงขอนำข้อมูลดีๆ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการปรับเปลี่ยน #พฤติกรรมการกิน เพื่อให้เราห่างไกลโรค เราไปดูกันเลยค่ะ

การกินหวานให้ปลอดภัย คือ ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน (1 ช้อนชา = 4 กรัม ) ซึ่งในความเป็นจริงเราอาจบริโภคน้ำตาลให้เหลือเพียงวันละ 6 ช้อนชาได้ค่อนข้างลำบาก

ยากเกินไปสำหรับใครบางคน 💡ป้าเจนขอเสนอว่าให้เริ่มจากการดื่มเครื่องดื่มหวานน้อย หรือดื่มน้ำเปล่า และควรชิมก่อนปรุงทุกครั้ง เป็นต้น

การกินมันให้ปลอดภัย คือ ควรบริโภคน้ำมันไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือประมาณ 30 กรัม

ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันทรานส์สูง ที่แฝงตัวอยู่ใน ขนมเค้ก ขนมที่ใส่กะทิ กุนเชียง ไส้กรอก ปลากระป๋อง เนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารประเภทถั่ว เป็นต้น

ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หลายคนติดการกินเค็ม และอาหารหลายๆอย่างในปัจจุบันก็มีรสชาติเค็มสูง

เราสามารถลดปริมาณการบริโภครสเค็มได้ง่ายๆ เช่น การใช้เครื่องปรุง Low-Sodium หรือก่อนทานสังเกตปริมาณโซเดียมที่ฉลากสินค้า

ระหว่าง หวาน มัน เค็ม อะไรที่ร้ายกว่ากัน ขอตอบได้เลยว่า ทุกรสชาติจะมีความร้ายแรงต่อร่างกายเหมือนกัน หากบริโภคเกินความจำเป็น และขาดการดูแลเอาใจใส่ร่างกายด้วยการออกกำลังกาย

🍲ดังนั้นป้าเจนอยากฝากทุกคนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ เรามาค่อยๆปรับไปด้วยกัน เพื่อสมดุลชีวิตที่ดียิ่งขึ้นนะคะ

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.Gingen.com


#จินเจน #Gingen #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ขิงผงสำเร็จรูปจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

#ขิงผง100% #ขิงผงไม่มีน้ำตาล #ขิงผสมมน้ำตาล #ขิงยอดนิยม #ขิงเข้มข้น #ขิงเพิ่มน้ำนม #ขิงสำหรับคุณแม่

#ประโยชน์ของขิง #สมุนไพรขิง #ขิงยาอายุวัฒนะ #ขิงทำอาหาร

#ขิงช่วยเผาผลาญ #ขิงลดความอ้วน#ขิงแก้เมารถ #ขิงแก้เมาเรือ #ป้าเจน

รูปร่างทรงไหนใส่ใจสุขภาพที่สุด เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรูปร่าง

รูปร่างทรงไหนใส่ใจสุขภาพที่สุด

🥤กลางวันทานข้าวเสร็จ ต้องตบของหวานเป็นชานมไข่มุก
🥤วันนี้ทำงานเหนื่อยย เหนื่อย ขอจัดบุพเฟ่หมูกระทะหน่อยแล้วกัน
🥤หิวจนนอนไม่หลับ โซ้ยมาม่าสักถ้วยตอนเที่ยงคืนคงไม่เป็นไรมั้ง

หนุ่มสาวคนไหนมีพฤติกรรมแบบนี้บ้าง⁉️

การกระทำเหล่านี้อาจส่งผลให้รูปร่างพัง! และค่า BMI สูง! จนทำให้เกินโรคต่างๆตามมาได้😱

💡วันนี้ป้าเจนมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรูปร่าง และวิธีคิดค่า BMI มาฝาก เพื่อสุขภาพของชาวเพจจินเจนที่ดียิ่งขึ้น

ค่า BMI หรือ Body Mass Index คือ ค่าดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว และส่วนสูง ซึ่งสามารถระบุได้เลยว่า รูปร่างของคุณอยู่ในระดับใด ตั้งแต่อ้วนมาก ไปจนถึงผอมเกินไป

👍วิธีการคำนวณก็ง่ายทำตามภาพได้เลยจ้าา

การวัดค่า BMI ยังบ่งบอกอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ตรวจสอบภาวะไขมันและความอ้วน ดังนั้นการทำให้ร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพในระยะยาว

ค่า BMI ของคุณอยู่ในระดับใด? เช็กเลย!

🚴🏻‍♀️อ้วนมาก ( 30.0 ขึ้นไป )
ค่อนข้างอันตราย เพราะเข้าเกณฑ์อ้วนมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงที่แฝงมากับความอ้วน หากค่า BMI อยู่ในเลขนี้ จะต้องระวังการรับประทานไขมัน และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหากเลขยิ่งห่างจาก 40.0 มาก ยิ่งแสดงถึงความอ้วนที่มากขึ้น

🚴🏻‍♀️อ้วน ( 25.0 – 29.9 )
คุณอ้วนในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ถึงเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วนมากๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้เช่นกัน ทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง

🚴🏻‍♀️น้ำหนักเกิน ( 23.0 – 24.9 )
พยายามอีกนิด เพื่อลดน้ำหนักให้เข้าสู่ค่ามาตรฐาน เพราะค่า BMI ในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นกลุ่มผู้ที่มีความอ้วนอยู่บ้าง แม้จะไม่ถือว่าอ้วน แต่หากประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ก็ถือว่ายังมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ

🚴🏻‍♀️น้ำหนักปกติ เหมาะสม ( 18.6 – 22.9 )
น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับคนไทย คือค่า BMI ระหว่าง 18.5-24.9 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆน้อยที่สุด ควรพยายามรักษาระดับค่า BMI ให้อยู่ในระดับนี้ให้นานที่สุด

🚴🏻‍♀️ผอมเกินไป ( น้อยกว่า 18.5 )
น้ำหนักน้อยกว่าปกติก็ไม่ค่อยดี หากคุณสูงมากแต่น้ำหนักน้อยเกินไป อาจเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย การรับประทานอาหารให้เพียงพอ และการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

ค่า BMI จากโปรแกรมคำนวณนี้ เป็นค่าสำหรับชาวเอเชียและคนไทย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติ ค่า BMI เฉลี่ยของหญิงไทยคือ 24.4 และของชายไทยคือ 23.1

บ่งชี้โรคด้วยค่า BMI

1. โรคอ้วน ภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ บางคนกล่าวว่าภาวะน้ำหนักเกิน มีความรุนแรงน้อยกว่า แต่ในทางการแพทย์ทั้งสองสภาวะถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งนอกจากเราจะดูว่าร่างกายของเรานั้นก้าวเขาสู่ภาวะ “อ้วน” จากการสังเกตเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ได้แล้ว BMI ก็เป็นอีกตัวบ่งชี้หนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน จัดเป็นเครื่องมือวัดปริมาณไขมันในร่างกายชิ้นหนึ่งที่น่าเชื่อถือทีเดียวล่ะ

2. โรคหัวใจและหลอดเลือด สืบเนื่องจากการเป็นโรคอ้วน ภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนล้วนเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดทั้งสิ้น เนื่องจากไขมันที่สะสมในร่างกายในปริมาณที่มากเกินไปนั้นอุดตันในเส้นเลือด
หรือหากจะกล่าวให้เห็นภาพก็คือไขมันที่สะสมนั้นไปเกาะอยู่บนผนังของหลอดเลือดนั่นเอง หลอดเลือดแดงจึงตีบและมีขนาดแคบลง ส่งผลให้เลือดแดงเดินทางผ่านได้น้อยจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และกล้ามเนื้อหัวใจอาจตายได้ในที่สุด

3. โรคเบาหวาน ระดับไขมันเลือดที่สูงนั้น จะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น หลอดเลือดแดงตีบแคบลงและเลือดไหลเวียนน้อยลงไปด้วย มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับโรคหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง

4. โรคกระดูกพรุน BMI อาจไม่ได้บ่งชัดถึงโรคกระดูกพรุนโดยตรง แต่น้ำหนักและส่วนสูงของคุณสามารถบอกถึงความเสี่ยงได้ กล่าวคือคุณอาจมีน้ำหนักตัวมากเกินจนทำให้กระดูกหักในอนาคตได้

ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรคเท่านั้น และค่า BMI นี้ก็เป็นเพียงเครื่องมือวัดแบบคร่าว ๆ เบื้องต้นเช่นกัน เพราะบางคนมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ตามปกติ แต่เขาคนนั้นอาจมีปริมาณไขมันสะสมซึ่งนำไปสู่แนวโน้มโรคอ้วนก็เป็นได้เหมือนกัน ดังนั้น การวัดค่าแบบ BMI อาจไม่สามารถวินิจฉัยโรคของคนไข้ได้เพียงอย่างเดียว เราอาจต้องดูปัจจัยเรื่องอายุ เพศ เชื้อชาติ และพันธุกรรมควบคู่ไปพร้อมๆ กับการปรึกษาแพทย์ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่า BMI เป็นค่าวัดที่ช่วยบ่งชี้ว่าร่างกายและน้ำหนักของคุณอยู่ในเกณฑ์ไหน

สิ่งสำคัญคือ เมื่อคุณรู้ว่าตนอยู่ในเกณฑ์ใดแล้วคุณควรเรียนรู้ที่จะควบคุมวินัยการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณ ลองหันมารักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ควบคุมปริมาณอาหารอย่างเหมาะสม จำกัดอาหารหวานและปริมาณแป้งที่บริโภคเข้าไป และจงอย่าหลงผิดหาทางลัดในการลดน้ำหนักโดยใช้สารเคมี หรือกินยา เนื่องจากอาจส่งผลเสียในระยะยาวได้

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ www.Gingen.com


#จินเจน #Gingen #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ขิงผงสำเร็จรูปจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

#ขิงผง100% #ขิงผงไม่มีน้ำตาล #ขิงผสมมน้ำตาล #ขิงยอดนิยม #ขิงเข้มข้น #ขิงเพิ่มน้ำนม #ขิงสำหรับคุณแม่

#ประโยชน์ของขิง #สมุนไพรขิง #ขิงยาอายุวัฒนะ #ขิงทำอาหาร

#ขิงช่วยเผาผลาญ #ขิงลดความอ้วน#ขิงแก้เมารถ #ขิงแก้เมาเรือ #ป้าเจน