ขิงมีฤทธิ์ร้อน กรดไหลย้อนขิงก็ช่วยได้

โรค “กรดไหลย้อน” จะมีอาการแสบร้อนกลางอก ใครเป็นก็จะรู้ว่ามันทรมานมากเลย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า หากมีอาการแสบร้อนก็คงห้ามกินของที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไปอีก แต่ถ้ารู้จักกับสรรพคุณของสมุนไหรฤทธิ์ร้อนอย่าง “ขิง” แล้ว คุณจะเปลี่ยนความคิดแน่นอน

ก่อนอื่น เรามาดูว่าทำไมอาการกรดไหลย้อนถึงทำให้เรารู้สึก “แสบร้อนท้อง หรือหน้าอก” นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังมีแผลที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และถ้าไม่รีบรักษาแผลก่อนกรดไหลย้อน ก็จะยิ่งหายช้ามาก ร่างกายจะไม่หลั่งกรดออกมาเต็มที่เพราะกลัวเจ็บ พอเป็นแบบนี้ การย่อยก็จะแย่ อาการท้องอืดก็จะตามมา จนเป็นโรคเรื้อรังได้เลย


ซึ่งเราสามารถรักษาแผลที่ว่านี้ได้ด้วย “ขิง” นั่นเอง

คุณสมบัติของขิงที่ช่วยกรดไหลย้อน
– ขิงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของแผลได้ดีทำให้ร่างกายไม่กลัวการหลั่งกรด
– ขิงมีเอ็นไซม์ซิงจิเบนช่วยย่อยได้ดี ลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหาร
– ขิงลดการเกิดแก๊ส ท้องอืด ช่วยขับลมได้ดี
– ขิงช่วยให้กระเพาะบีบอาหารไปที่ลำไส้เล็กได้เร็วขึ้น ลดอาการกำเริบของกรดไหลย้อน
– จิบน้ำขิงทั้งวัน เพิ่มการดื่มน้ำทีละนิดทั้งวัน ยังกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

ด้วยความห่วงใย

จินเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก hashicenter.com

ลดความเครียดด้วย “น้ำขิง”

จากหลายผลวิจัยบอกว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ แค่เครียดก็แย่แล้วยังจะต้องเจ็บป่วยเพราะความเครียดที่สะสมนานๆก็คงไม่ไหวนะคะ

การรับมือความเครียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลง หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย แต่ วันนี้ขอเสนออีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆสำหรับลดความเครียดมาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือ การดื่มน้ำขิง นั่นเเอง 

ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง

ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่ หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกันนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

6 เคล็ดลับ สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

สำหรับหลายคน บ้านเป็นที่ชาร์จพลังกายและพลังใจอย่างดี แต่บ้านก็ไม่ได้หมายถึงสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคนที่อยู่ที่บ้านหรือครอบครัวของเราด้วย

ครอบครัวที่แบ่งปันความรักและความห่วงใยให้กันและกันนั้น จะทำให้เกิดความสุขขึ้นในบ้าน และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากรู้เราวิธีสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น  เรามาดู 6 เคล็ดลับ ที่จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวให้รักและใกล้ชิดกันมากขึ้นกันค่ะ

1. อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลายครอบครัวมักละเลยตรงจุดนี้ จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวระดับรุนแรง แนะนำให้หาเวลาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มากขึ้น จัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนในครอบครัวได้มีส่วนร่วมในทุกๆ สัปดาห์ บ้านจะน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นกองเลย รับรองได้

2. แสดงออกถึงความรัก
หลายคนอาย เขิน และไม่กล้าบอกรักให้คนในครอบครัวฟัง หรือ หลายคนเลือกไม่กอดกัน เพราะอ้างว่าแสดงออกไม่เป็น แต่รู้หรือไม่การที่ได้กอดและบอกรักคนในครอบครัวนั้น มันดีต่อใจและช่วยกระตุ้นความสุขให้กับคนที่ได้รับแรงกอดและคำพูดเหล่านั้นอย่างแท้จริง

3. สื่อสารบ่อยๆ กระชับกความสัมพันธ์
สื่อสารในที่นี้ ไม่ใช่การเถียงหรือตะโกนใส่กัน แต่คือการพูดด้วยภาษาที่นุ่มนวล อบอุ่น และแสดงออกถึงความห่วงใย เช่น กลับมาเหนื่อยๆ กินน้ำก่อนไหม ไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินข้าวกัน โดยความจริงใจจากคำพูดที่มอบให้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข และลดความตึงเครียดภายในที่เกิดขึ้นได้

4. วันสำคัญอย่าลืมกัน
มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า วันสำคัญของคนในครอบครัว เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเทศกาลต่างๆ เป็นวันที่เชื่อมร้อยความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การจัดงานเล็กๆ ภายในบ้าน การไปกินข้าวพร้อมกัน หรือการมอบขวัญสุดพิเศษให้คนในครอบครัวที่คุณใส่ใจ เป็นการผูกมัดสายใยความสัมพันธ์ให้กลมเกลียวมากขึ้น

5. อย่าเพ่งโทษกัน
การอธิบายด้วยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ครอบครัวฟังและเข้าใจกันมากขึ้น และยามเกิดปัญหา อย่านำพาตัวเองไปติดกับดักอารมณ์ ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการกระทำหรือคำพูด เพราะมันจะทำให้เกิดภาพลบ และส่งผลไม่ดีลงต่อชีวิตครอบครัวของคุณเอง เวลาเกิดปัญหา อย่าเกี่ยงกันว่าใครผิด ใครถูก เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ให้แก้ไขและหาทางออกร่วมกัน สื่อสารกันอย่างละมุนละม่อม โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นเด็ก ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

6. ความเสมอภาคคือคุณภาพ
การพิจารณาคนในครอบครัวแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกข้างหรือโน้มเอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพราะการไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้คนในครอบครัวทุกคนเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฟังและยอมรับความคิดเห็นระหว่างกันมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Bewellstyle.com

การเลี้ยงสัตว์ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?

สัตว์เลี้ยงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ลองใช้เวลาซัก 2-3 นาที นั่งดูตู้ปลากับสุนัขหรือแมวของคุณดู ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย และมันสามารถช่วยลดความเครียดของคุณลงได้

ช่วยลดความดันโลหิต

คนที่มีปัญหาความดันเลือดสูง อาจจะกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่รู้ไหมว่าการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความดันเลือดได้นะ จากการศึกษาพบว่าในคู่สามีภรรยาทั้งหมด 240 คู่นั้น คู่สามีภรรยาที่เลี้ยงสัตว์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจและระดับของความดันโลหิตในภาวะปกติต่ำกว่าคู่ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และมีอีกการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อได้รับสัตว์มาเลี้ยงแล้ว ค่าคามดันโลหิตของพวกเขากลับลดลง

ช่วยให้ระดับคลอเรสเตอรอลต่ำลง

คนส่วนใหญ่มักจะควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลด้วยการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก และสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยแล้ว การควบคุมระดับคลอเรสเตอรอสก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น มีผลวิจัยออกมาว่าผู้คนที่เลี้ยงสัตว์จะมีระดับของคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยง แต่เหตุผลนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นไปได้ว่ากิจกรรมในการใช้ชีวิตของผู้คนที่เลี้ยงสัตว์นั้นมีมากกว่า เช่นต้องพาสัตว์เลี้ยงไปจูงเดิน หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

ทำให้หัวใจแข็งแรง

จากการศึกษาใน 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขหรือแมว มีอัตราการตายด้วยภาวะหัวใจวายมากกว่าคนที่เลี้ยงถึง 40%

ช่วยลดอาการซึมเศร้า

คำกล่าวที่ว่าสุนัขหรือแมวรักคุณโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น เป็นจริงเสมอ และพวกเขายังสามารถช่วยปลอบคุณเวลาคุณรู้สึกซึมเศร้าได้อีกด้วย เชื่อไหมว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถฟังคุณพูดระบายความรู้สึกได้เป็นวันๆ เลยหล่ะ พวกเขาเป็นนักฟังที่ดี และจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ซึ่งบางทีในเวลาที่คุณแปรงขนให้กับเขา เล่นกับเขา หรือพาเขาไปจูงเดิน คุณสามารถพูดระบายสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

กระตุ้นการออกกำลังกายของคุณ

การเดินวันละ 30 นาทีของคุณจะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เพราะการจูงสุนัขเดิน 15 นาทีตอนเช้าและตอนเย็น จะทำให้คุณสนุกกับการเดินมากขึ้น หรือแม้แต่การเล่นกับเจ้าตูบที่สนามหน้าบ้าน ก็จะทำให้คุณได้มีกิจกรรมออกกำลังกายมากขึ้นเช่นกัน

เป็นคู่หูในการออกกำลังกายชั้นยอด

เคยไหม? เวลาเราอยากออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานในตอนเช้า แล้วชวนคนในบ้านไปด้วย เรามักจะได้รับคำปฏิเสธอยู่เสมอ แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นไม่เคยบ่นหรือปฏิเสธเวลาคุณชวนพวกมัน สัตว์เลี้ยงพร้อมจะไปเดินหรือเล่นกับคุณเสมอ

ให้เปลี่ยนวิธีกิน เมื่อเข้าวัย 50+

การมีสุขภาพดีในทุกช่วงวัย ส่วนหนึ่งวัดจากการมีปริมาณมวลกล้ามเนื้อที่เพียงพอได้ ช่วงวัยกลางคนหรือวัยทํางาน (อายุ 25-64 ปี) มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มหายไปอย่างช้าๆ ตั้งแต่อายุ 35 ปี และรวดเร็วขึ้นเมื่อย่างเข้าอายุ 70 ปี โดยเฉพาะเพศหญิง กล้ามเนื้อจะหายอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจําเดือน ดังนั้นหากไม่ได้ออกกําลังกายหรือทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุก็จะทําให้มีปัญหาสุขภาพจากมวลกล้ามเนื้อลดลงได้

.

ความชราทําให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ สร้างน้อยลง เซลล์ในร่างกายทํางานได้ช้า ลง ระบบประสาทสั่งการแย่ลง ส่งผลให้การขยับร่างกายถดถอยลง ช้าลง เดินไม่มั่นคง อ่อนเพลียง่าย หกล้มง่าย หรือไม่มีแรงขยับ ตัว นําไปสู่ภาวะการนอนติดเตียงในที่สุด

ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและชะลอการหายไปของกล้ามเนื้อ ทําให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรง ฟิต และสุขภาพดีใกล้เคียงกับช่วงวัยกลางคนได้ ด้วยการทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ เน้นทานโปรตีนที่เพียงพอ ร่วมกับการขยับร่างกายเพิ่มหรือออกกําลังที่มีการเกร็งกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวไม่เร็วมาก เช่น จี้กง โยคะ ไทเก๊ก การเล่นเวท หรือ ยางยืด ปั่นจักรยาน การเดินปกติ หรือเดินในน้ำ เป็นต้น

.

โปรตีน ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่มีโรคประจําตัวรุนแรงนั้น ไม่ได้ต่างจากวัยกลางคน ที่ความต้องการโปรตีนจะสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ โดยน้ำหนักตัวทุกๆ 10 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 3-4 ช้อนโต๊ะต่อวัน เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 5×3 = 15-20 ช้อนโต๊ะต่อวัน เลือกโปรตีนที่เคี้ยวง่ายหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ไข่ตุ๋น เนื้อปลา หมูสับหมักนิ่มหรือเนื้อสัตว์ตุ๋นจนนิ่ม นม เต้าหู้ เลือดหมู หรือไก่ เป็นต้น โดยสลับทานทั้งเนื้อสัตว์สีแดงและสีขาว เพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ

.

แป้ง ควรทานมื้อละ 3-4 ทัพพี เลือกประเภทนิ่ม เช่น ข้าวต้ม ข้าวหุงนิ่มๆ ขนมปังนิ่มๆ ฟักทอง มันนึงเนื้อนิ่มๆ หรือวุ้นเส้น เป็นต้น

ผักผลไม้ การกินให้หลากหลายจะช่วยให้ระบบร่างกายทํางานได้ดีขึ้น และป้องกันท้องผูก ทานผักมื้อละ 1-2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ฝ่ามือ โดยเลือกแบบที่นิ่มหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ผักที่ต้มหรือปรุงจนนิ่ม ส้ม มะละกอ แก้วมังกร แตงโม มะม่วงสุก กล้วยสุก ผักหรือผลไม้ปั่นพร้อมกาก เป็นต้น

.

ทานน้ำมันและน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซีอิ๊วไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอีกหลายๆ โรคในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ การดื่มนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็สําคัญ (นมถั่วเหลืองแนะนําประเภท UHT เนื่องจากมีการเติมแคลเซียมให้เท่าแคลเซียมในนมวัว) โดยทานวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ และการออกไปโดนแดดบ้างในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดีที่เพียงพอขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช

.

.

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สาร GINGEROL ในขิง ดีต่อสุขภาพยังไง?

 ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารหลายชนิด  เครื่องหอมต่าง ๆ และใช้ผสมในยาเพื่อบรรเทาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ เช่น แก้ท้องอืด, ขับลม, แก้คลื่นไส้อาเจียน, ใช้ทำยาแก้คันหรือลดอาการฟกช้ำต่าง ๆ  ในส่วนน้ำมันของขิงมีจะรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนและมีสรรพคุณรักษาต่าง ๆ เช่นกัน ดังนั้นขิงจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าขิงมีฤทธิ์ในการรักษาอาการต่าง ๆ  ในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการวิเคราะห์ว่าภายในขิงนั้นประกอบด้วยสารสำคัญอะไรบ้าง

        เมื่อนำขิงมาสกัดจะพบว่าสารสกัดขิงประกอบด้วย Gingerol ซึ่งเป็นสาร Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ในกลุ่มของสารฟีนอล ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นรสเผ็ดฉุนและมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและยับยั้งอาการปวดได้ สารกลุ่มแอนโทไซยานินมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), สารต้านอาการอักเสบ และรวมถึงสารต้านมะเร็งด้วย ดังนั้นสารกลุ่มแอนโทไซยานินจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ และถ้าหากศึกษาสาร Gingerol ในขิงซึ่งเป็นหนึ่งในสารกลุ่มแอนโทไซยานินแล้ว ก็จะพบว่า Gingerol นั้นก็มีประโยชน์ทางเภสัชศาสตร์ต่อร่างกายเช่นกัน เช่น

ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง – สาร Gingerol มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic) ต่อเซลล์มะเร็ง โดยนักวิจัยได้ทดลองเลี้ยงเซลล์มะเร็ง 3 ชนิดและหยดสาร Gingerol ที่ระดับต่าง ๆ จึงพบว่าเซลล์มะเร็งเหล่านั้นลดลงหรือถูกทำลายไป ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าสารสกัด gingerol จะนำมาพัฒนาต่อเป็นยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้

เป็นสารป้องกันการก่อมะเร็ง (chemo-preventive agents) – สาร Gingerol ในขิงสามารถลดการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอดได้ นอกจากนี้ยังไปลดอาการอักเสบเรื้อรัง รวมถึงต้านการสร้างเส้นเลือดใหม่ในเซลล์มะเร็ง (Angiogenesis) ได้

ช่วยการทำงานของไต – สาร Gingerol สามารถช่วยส่งเสริมให้ไตทำงานได้ดีขึ้น โดยสาร Gingerol จะไปลด Lipid peroxidation ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจเป็นอันตรายต่อไตได้

        นอกจากสาร Gingerol ในกลุ่ม Anthocyanin ของขิงนั้น ในขิงยังมีสาระสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ หรืออาการเมารถได้ โดยสาร gingerol และ Shogaol ของขิงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำตาลและเพื่อความตึงตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร  จากการทดลองและงานวิจัยมากมายในด้านเภสัชศาสตร์ของสารสกัดขิง ทั้ง Gingerol และ Shogaol  นั้นจะเห็นได้ว่าสารสกัดขิงนั้นมีประโยชน์มากมายและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้สารสกัดขิงยังเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่มีสารพิษเจือปน จึงสามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ในระยะยาว

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ข้อดีของการ “นั่งสมาธิก่อนนอน”

ข้อดีของการทำสมาธิก่อนนอน

ความเครียดและความเร่งรีบในชีวิตประจำวันอาจทำให้เราเกิดความวิตกกังวลในใจ ถึงแม้อาการจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่เมื่อถึงเวลานอน หลายคนกลับพบว่าตัวเองหลับยาก ใจไม่สงบจนนอนไม่หลับ ทำให้นอนไม่พอ สมาธิสั้น และสุขภาพจิตย่ำแย่ การนั่งสมาธิก่อนนอนก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้นและหลับสนิทได้อย่างที่หลายท่านทราบกันดีอยู่แล้ว

แต่นอกจากนั้น การนั่งสมาธิก่อนนอนยังมีประโยชน์อีกหลายด้านสำหรับเรานะคะ ทั้งด้านร่างกาย สุขภาพ และอารมณ์ ดังนี้ค่ะ

– ช่วยลดอาการปวดศีรษะจากความเครียด

– ช่วยลดความเศร้าและความวิตกกังวล

– ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของร่างกาย

– ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบช่วงวัยหมดประจำเดือน

– ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

– ทำให้เรามีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้น

– ทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต

– ทำให้เกิดจินตนาการและยกระดับความคิดสร้างสรรค์

– เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำงาน

การทำสมาธิมีความปลอดภัย สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่สำหรับผู้ป่วยบางโรคไม่ควรใช้การทำสมาธิเพื่อรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้เป็นตัวช่วยเสริมจากการรักษาตามปกติจะดีกว่านะคะ เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาก่อนจากนั้นจึงใช้วิธีทำสมาธิมาช่วยบรรเทาอาการทางร่างกายและจิตใจค่ะ 

เห็นไหมคะว่าการทำสมาธิมีประโยชน์หลากหลาย ขอแค่เราฝึกเป็นประจำอย่างน้อยว่าละ 3-5 นาที จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าเห็นผลและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์แน่นอนค่ะ

#ข้อดีของการนั่งสมาธิก่อนนอน

#ด้วยความห่วงใย

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

ซื้อจินเจนได้ที่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านคุณ

หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ https://shop.gingen.com

5 วิธีกินขิง เพิ่มการเผาผลาญกับอาหารมื้อเช้า

ขิงเป็นสมุนไพรที่เรากินบ่อยกับโจ๊กหรือข้าวต้ม หรือนำไปดองกินกับเป็ดย่างหรือไส้กรอกอีสาน นอกจากจะทำให้อาหารรสชาติดีมีกลิ่นหอมแล้ว ขิงยังจัดว่าเป็นอาหารซุปเปอร์ฟู้ดที่ดีกับสุขภาพหลายด้าน ซึ่ง  วิธีกินขิงเพิ่มเผาผลาญ กับอาหารมื้อเช้า  ช่วยเสริมการคุมน้ำหนักให้ง่ายขึ้น อีกทั้งมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้ามีขิงผสมอยู่ก็จะทำให้มื้อแรกของคุณมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่การที่คุณจะกินข้าวต้มหรือโจ๊กใส่ขิงทุกวันมันก็น่าเบื่อ เรามีวิธีกินขิงแบบง่ายๆ ไม่จำเจมาฝาก

  1. ขิง&กาแฟ

กาแฟอุดมมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอลที่ช่วยชะลอวัย ถ้าคุณดื่มในปริมาณที่พอดี ทั้งลดความเหนื่อยล้า ทำให้ตื่นตัวและช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟในตอนเช้าลองเติมขิงลงไปสักนิดไม่เกิน 1 ช้อนชา คุณจะได้กาแฟขิงที่มีรสเผ็ดนิดๆ ซึ่งดีกับระบบย่อย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

  1. ชาขิง&มะนาว&น้ำผึ้ง

  หากคุณไม่ใช่คอกาแฟแต่อยากจะเพิ่มการเผาผลาญด้วยขิงก็ลองชาขิงสูตรนี้ โดยการนำขิงสดหั่นแว่นสัก 5-6 แว่นใส่ลงในน้ำต้มเดือด 1 ถ้วยปิดฝา 15-20 นาที กรองกากดื่มแต่น้ำหรือจะใช้ขิงผง 100% แทนก็ได้ค่าเพื่อความสะดวก เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะแล้วแต่ชอบ ดื่มหลังอาหารเช้า คุณจะรู้สึกสดชื่น อิ่มเร็ว ทั้งยังไปกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น ใครที่มีไขมันพุงหนาก็ห้ามพลาด

  1. ขิง&กราโนล่า

สำหรับคนที่เป็นสายสุขภาพทั้งกาโนล่ามักถูกเลือกให้เป็นอาหารเช้าของคุณบ่อยๆ เพื่อควบคุมน้ำหนักละก็ลองขูดขิงสดขนาด 1 นิ้วลงในชามกาโนล่า นอกจากจะได้กลิ่นที่หอมของขิงผสมรสเผ็ดนิดๆ แล้ว คุณยังได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเจ้ากาโนล่าอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ มีกากใยสูง ช่วยให้การขับถ่ายคล่อง บำรุงผิวพรรณ ส่วนขิงก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ เร่งเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายแถมผิวสวยเปล่งปลั่งได้อีก ถ้าหากคุณไม่มีขิงสดใช้ขิงผง 1 ช้อนชาแทนก็ได้นะคะ 

  1. ขิง&สมูทตี้

มาที่สมูทตี้เครื่องดื่มสุขภาพอีกอย่าง ซึ่งหลายคนนิยมปั่นผักผลไม้เพิ่มโปรตีนดื่มกันในช่วงเช้า ซึ่งประโยชน์ของเจ้าสมูทตี้ก็แล้วแต่สูตรว่า คุณต้องการให้ร่างกายได้อะไรในแต่ละวัน ลองเพิ่มขิงสดหรือจะใช้น้ำขิงลงไปปั่นด้วย ถ้าไม่มีอีกก็ขิงผง 1 ช้อนชาแทน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การเผาผลาญให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย ลดอาการปวดประจำเดือนของมนุษย์เมนส์ลงได้

  1. ขิง&ข้าวโอ๊ต

 หลายคนเลือกข้าวโอ๊ตเป็นอาหารมื้อเช้าในการควบคุมน้ำหนัก เพราะให้พลังงานสูงแต่ไขมันต่ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มนานและเหมาะสำหรับคนที่แพ้กลูเตนแล้ว ข้าวโอ๊ตยังช่วยลดโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ไฟเบอร์สูงทำให้การขับถ่ายดี หากข้าวโอ๊ตเป็นเมนูอาหารเช้าของคุณ ลองเติมขิงผงสัก 1 ช้อนชา หรือขิงสดขนาด 1 นิ้วขูดลงไปสักหน่อย เค้าจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายของคุณ ลดพุงลดรอบเอวไม่ยากเลย

     สำหรับวิธีกินขิงในมื้อเช้า คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการและจะให้ได้ผลดีที่สุดควรออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

8 วิธี ลดไขมันในเส้นเลือด

8 วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง ได้ผลแน่นอน!!

ไขมันในเลือดสูง เป็นโรคที่พบได้ทั้งในวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว และนี่คือ วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ

1.ควรได้รับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน

โดยปกติแล้วคนเราไม่ควรได้รับคอเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงมักพบในเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่นกกระทา หอยนางรม ปลาหมึก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหรือควรทานในปริมาณที่จำกัด

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว

ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ไขมันสูง อย่าง หมูสามชั้น สันคอหมู ขาหมูติดมัน หนังไก่ เบคอน แฮม ไส้กรอก ควรรับประทานเนื้อสัตว์มีไขมันอิ่มตัวน้อยอย่าง ปลาและอกไก่ และควรงดอาหารจำพวกกะทิเพราะจะมีไขมันอิ่มตัวสูง

3.รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง

ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง เช่น แอปเปิ้ล แก้วมังกร ฝรั่ง ชมพู่ ส้ม มะละกอ เพราะในอาหารเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมากซึ่งจะช่วยดูดซึมไขมันให้ลดน้อยลง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี

ควรรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยกรดโอเลอิกจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง พิสตาชิโอ ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก

5.ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง

ควรหันมาดื่มนมไขมันต่ำ เช่น พร่องมันเนย นมขาดมันเนย หรือ โยเกิร์ตไขมันต่ำ อีกทั้งนมธัญพืชยังเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพราะมีไขมันชนิดดีช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดีได้ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง นมข้าว

6.ควบคุมน้ำหนัก

ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ซึ่งควรอยู่ระหว่าง 18.5 – 22.9 กก./ เมตร2 หากน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ควรลดอาหารประเภทแป้งแล้วหันมาทานผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น

7.ออกกำลังกายเป็นประจำ

ควรหมั่นออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ก็จะช่วยเผาผลาญไขมันทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น ที่สำคัญไม่ควรหยุดออกกำลังกายติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำให้เกิดความขี้เกียจและเลิกออกกำลังกายในที่สุด

8.เลิกสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อหยุดสูบบุหรี่และเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ไขมันชนิดดีในร่างกายเพิ่มมากขึ้น และไขมันในเลือดชนิดไม่ดี (LDL) ลดน้อยลงอีกด้วย

“ขิง” ของจริงที่กล้าขิง!

ถ้าวัยรุ่นยุคนี้เค้าคุยโวกันเค้าก็ว่า “คุยขิงกัน” ขอเอา “ขิงตัวจริง” มาคุยขิงให้อ่านกันนิดนึงนะคะ ^^

อย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่า “ขิง” เป็นสมุนไพรที่มีมายาวนาน เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในสีขาว หรือเหลืองอ่อน ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น เรียกว่าใช้ได้ทุกส่วนเลยก็ว่าได้ ขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ซึ่งคุณประโยชน์ของของนั้นมีมากมาย ก.ไก่หลายตัวมากกกก เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าสรรพคุณเด่นๆของขิงจะมีอะไรบ้าง

รักษาโรคหวัด

นำขิงสดมาฝนกับน้ำเลมอนให้ได้น้ำข้นๆ ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ทานครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง

ลดระดับความดันโลหิต

ฝานขิงสดบางๆ ต้มกับน้ำดื่มพอประมาณ ดื่มทุกวัน จะช่วยรักษาอาการความดันโลหิตสูงได้

บรรเทาอาการไข้สูง

นำขิงสดมาคั้นให้ได้น้ำ 1/2 ถ้วย ผสมกับน้ำอุ่น และน้ำผึ้ง จิบบ่อย ๆ ไข้จะค่อย ๆ ลดลง

ดับกลิ่นในช่องปาก

นำขิงมาคั้นแล้วผสมกับน้ำอุ่น ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย นำมาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี และช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วย

บรรเทาอาการไมเกรน

ทานขิงในช่วงที่อาการปวดไมเกรนกำลังเข้าสู่ช่วงกำเริบนั้น ทำให้อาการปวดลดลง โดยน้ำขิงสดและน้ำตาลทรายแดงมาต้มเป็นน้ำขิงดื่ม เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว

เห็นไหมคะว่าสรรพคุณขิงไม่ธรรมดาจริง ๆ ใครยังไม่เคยลองแนะนำให้เปิดใจ มีขิงติดบ้านไว้รับรองอุ่นใจ แล้วจะรู้ว่าไม่ได้ขิงจริงๆนะ ^^