สุขภาพดีรับปีใหม่

ในช่วงปีใหม่แบบนี้ แอดมินและป้าเจนขอถือโอกาสแบ่งปันข้อแนะนำจาก สสส. และอาจารย์ สง่า ดามาพงษ์” ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านโภชนาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ดีมากๆและทำได้จริง เพื่อที่จะช่วยปรับเปลี่ยนนิสัยการกินของคุณ ให้มีสุขภาพที่ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ขออนุญาตชวนไปดูแต่ละข้อพร้อมๆกันเลยค่ะ ^^

ที่มา: สสส.

เริ่มต้นจากลองมองย้อนกลับไปก่อน 12 เดือนที่ผ่านมาว่า สุขภาพของตัวเองเป็นอย่างไร “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นหรือไม่ ? ผอมลงหรือไม่ ? “ไปหาหมอกี่ครั้ง” เป็นหวัดกี่หน ? “ปวดท้อง” “ท้องเสีย” กี่ครั้ง ? เจ็บป่วยบ่อยหรือเปล่า ซื้อยากินหรือไม่ ? เปลืองเงินกับค่ารักษาพยาบาลไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ขอให้สำรวจสุขภาพของตัวเองก่อน เป็นอันดับแรก

ต่อมา ให้ลองสำรวจกลับไปอีกว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เราได้ “ออกกำลังกาย” เป็นประจำหรือไม่ ? ออกๆ หยุดๆ หรือไม่ได้ออกเลย เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อย่างเดียว

และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรา “กินตามใจปาก” หรือไม่ ? กินถูกหลักโภชนาการ “ครบ 5 หมู่” หรือไม่ กินรสชาติ “หวานจัด มันจัด เค็มจัด” หรือไม่ เรา “กินผักผลไม้” เพียงพอหรือไม่ ?

ลองสำรวจเพิ่มว่า เราเป็นคน “ติดหวาน” หรือไม่ ? เรากินกาแฟเย็นมากเกินไปหรือเปล่า กินน้ำอัดลม กินขนมกรุบกรอบบ่อยหรือไม่ ?

เรื่องต่อมา ขอให้สำรวจเรื่อง “อารมณ์” ว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรามีอะไรที่มากระทบจิตใจในเชิงลบ มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทำให้หงุดหงิด ทำให้กังวล ทำให้โกรธ ทำให้ไม่สบายใจ มีหลายเรื่องหรือไม่ ? แล้วเราสลัด “ความเครียด” ออกได้เร็วหรือไม่ หรือว่าเก็บมันไว้ในใจ เราสามารถขจัดออกได้กี่เรื่อง และไม่ได้กี่เรื่อง ?

ในรอบปีที่ผ่านมา “สูบบุหรี่” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ? “ดื่มสุรา” จนติดเป็นนิสัยเลยใช่หรือไม่ และได้ “พักผ่อน” เพียงพอรึเปล่า นอนถึง 6 ชั่วโมงหรือไม่ ? ทั้งหมดนี้เราต้องกลับไปดูภาพรวมตัวเองในปีที่ผ่านมา เพื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และวางแผนสู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ถ้าสำรวจแล้วพบว่า รอบปีที่ผ่านมาพฤติกรรม “แย่มาก” ไม่เคยออกกำลังกาย กินสะเปะสะปะ คุณจงเริ่มเอาวันที่ 31 ธันวาคม หรือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนชีวิตใหม่ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า สุขภาพจะย่ำแย่ลงตามอายุ ที่เพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่

ดังนั้น ขอให้เริ่มจากการระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน เริ่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ยิ่งดี เพื่อปูพื้นฐานไปสู่พฤติกรรมการกินที่ถูกต้อง ไปตลอดทั้ง 12 เดือนข้างหน้า

ช่วงปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งการกินเลี้ยง กินเค้กปีใหม่ อาหารส่วนใหญ่มักจะมีความมันจัด หวานจัดและเค็มจัด มีโปรตีนสูง ผักน้อย ดังนั้นถ้าเราจะฝึกพฤติกรรมการกิน ก็ควรจะระมัดระวัง “อาหารที่มีแคลอรี่สูง” เพราะอาจทำให้อ้วนแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวาน ดังนั้น ก่อนทานอาหารควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ให้มาก ๆ

สำหรับเทคนิคการเลือกกินอาหารในงานเลี้ยง ประกอบไปด้วย 1. “สารอาหารจะต้องครบ 5 หมู่” จะไปกินเฉพาะเนื้อสัตว์อย่างเดียวไม่ได้ อาหารทุกมื้อในช่วงงานเลี้ยงต้องครบ 5 หมู่ 2. “รสชาติของอาหาร จะต้องไม่หวานจัด มันจัด เค็มจัด” ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นเมนูอะไร คุณต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง

3. “หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ๆ ผัด ๆ” 4. “เลือกกินอาหารประเภทต้ม, แกง, อบ, นึ่ง, ย่างและปิ้ง” แต่ต้องระวังอย่าให้ไหม้เกรียม 5. “ระวังอาหารหวาน” ไม่ได้ห้ามกินแต่อย่ามากจนเกินไป กินแต่พอดี เค้กกินต่อไปแต่ชิ้นอาจจะบางลง

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ในการปูพื้นฐานเรื่องการกินให้ดีต่อสุขภาพ ในช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ คือ “เริ่มต้นการกินผักให้มากขึ้น” โดยอาจจะมาในรูปของผักสลัด ผักที่อยู่ในแกง หรือผักที่อยู่ในน้ำพริก อยู่ในส้มตำ หรืออยู่ในยำผัก หรือเมนูอะไรก็แล้วแต่ “อาหารปีใหม่ต้องมีผักให้ได้” และ “ฝึกตัวเองกินผลไม้ หลังจากการกินข้าว” ไม่ใช่กินข้าวเสร็จแล้วไปหาขนมหวานกินต่อ ดังนั้น ควรมีผลไม้วางอยู่บนโต๊ะงานเลี้ยงด้วยเสมอ

ของขวัญที่เราควรมอบให้กับตัวเอง ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าหรือของขวัญที่มีราคาแพง แต่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลัก “3 อ. 2 ส. และ 1 พ.” คือ อาหาร, อารมณ์, ออกกำลังกาย, ไม่ดื่มสุรา, ไม่สูบบุหรี่ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้ดีขึ้น เป็นของขวัญแห่งชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินตรา

ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ คุณต้องเปลี่ยน Mindset หรือ ทัศนคติมุมมองใหม่ เพราะถ้าไม่เปลี่ยน Mindset เสียก่อนอย่างอื่นคุณก็จะเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งการที่คุณจะเปลี่ยน Mindset ได้คุณต้องมีแรงจูงใจ และเป็นแรงจูงใจที่มีพลังมากพอ

แรงจูงใจที่ว่านี้ อาจจะมาจากการสำรวจสุขภาพตัวเอง ในปีที่ผ่านมา เช่น น้ำหนักตัวที่มากขึ้น ๆ ถ้าปล่อยเอาไว้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง พอคุณอ้วนมากเข้า โรคเบาหวาน, โรคความดัน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง ก็ตามมา แล้วคุณจะทำอย่างไร สุขภาพคุณจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสุขภาพ จริงๆ ขอให้ทำเพื่อคนอื่นดีกว่า เช่น ถ้าคุณมีแม่ ให้เปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่ เพราะลองคิดดูว่า ถ้าคุณอายุ 30 ปี แม่อายุ 70 ปี แต่คุณป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ปากเบี้ยว กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แม่คุณต้องมาคอยดูแล คุณจะทำอย่างไร หรือถ้าคุณแต่งงานแล้ว มีลูกตัวเล็ก ๆ คุณก็ลองตั้งเป้าหมายเปลี่ยนตัวเองเพื่อลูก จะได้อยู่เลี้ยงดูเขาเติบโต

“การเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพถ้าไม่มีแรงจูงใจมากพอ มันจะเปลี่ยนไม่ได้ ที่สำคัญอย่าตั้งเป้าหมายเปลี่ยนเพื่อตัวเอง เช่น ลดน้ำหนักเพื่อตัวเองจะได้หุ่นดี การตั้งเป้าหมายเช่นนี้ มักจะล้มเลิกกลางคัน เพราะแรงจูงใจไม่มากพอ ดังนั้นขอให้ลองทบทวนหาข้อบกพร่องในปีที่ผ่านมา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยใช้วันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”

7 คำถามคาใจในเทศกาลกินเจ

เริ่มเทศกาลกินเจของปีนี้แล้ว…วันนี้ “หมอจิน” และ “ป้าเจน” เลยได้รวบรวมคำถามบางคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทศกาลกินเจนี้มาฝากทุกๆคนให้เข้าใจง่ายๆอีกครั้งค่ะ ตามไปดูกันเลย ^^

 

 

 

 

 

 

#เทศกาลกินเจ
#คำถามคาใจเทศกาลกินเจ

#หมอจิน #ป้าเจน

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#จินเจนดื่มดีดื่มได้ทุกเทศกาล ^^

ในแต่ละวันของคุณ

ในแต่ละวันของคุณ ให้จินเจนคอยดูแลนะคะ #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน❤️♨️

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีสารอาหารที่ดีมากมายสำหรับร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแตสเซียม ทองแดง และวิตามินบี 6 นอกจากนี้ยังมีสารจินเจอรอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำให้ร่างการแข็งแรงมีสุขภาพที่ดี และ ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ขับลม แน่นจุกเสียด อาการคลื่นไส้อาเจียนอีกด้วย การดื่มน้ำขิงจะช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย

 

ดื่มน้ำขิงตอนเช้า เป็นประจำในช่วงเช้าเวลาประมาณ ตี 5 – 6 โมงเช้าเป็นช่วงที่เหมาะแก่การดื่ม เพราะจะทำให้เราขับถ่ายได้ดี แล้วก็เตรียมร่างกายให้พร้อมในการเผาผลาญพลังงาน

 

ดื่มน้ำขิงหลังอาหาร ขิงมีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าปกติ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้

ขิงยังมีสารคล้ายกับเอนไซม์ใช้ช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะเวลาที่กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักจากอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่กินเนื้อสัตว์มากๆ การกินขิงร่วมกับมื้ออาหารนั้นๆ หรือการดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หลังมื้ออาหาร จึงช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี

 

ดื่มน้ำขิงระหว่างวัน หากใครรู้สึกอ่อนล้าจากการทำงานหนัก คลายเครียดด้วยการดื่มน้ำขิงอุ่นสักแก้ว ขิงมีรสเผ็ดร้อยช่วยให้กระตุ้นให้ร่างกายตื่นด้วย คล้ายๆ เราดื่มคาเฟอีนในกาแฟการจิบน้ำขิงช่วยเพิ่มพลังให้ร่างกาย

นอกจากนี้ ขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย

 

ดื่มน้ำขิงก่อนนอน ดื่มน้ำขิงก่อนนอนนั้นช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันหอมระเหยในขิงจะทำให้เรารู้สึกสงบหลับง่ายและสบายขึ้น นอกจากนี้ น้ำขิงจะทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นและนอนหลับได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย

EATFROMHOME

#EatFromHome น้ำหนักขึ้นแล้วขึ้นอีก ได้เวลาลดแล้วจ้าาาา

การอดอาหารเป็นอะไรที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากเรายิ่งอดอาหารมากเท่าไหร่ก็จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญจะทำให้หิวมากขึ้น และก็จะกินมากกว่าปกติด้วยนะคะ

อาหารเช้านับเป็นมื้อที่สำคัญของวัน เพราะร่างกายเราไม่ได้รับอาหารมาตลอดทั้งคืน ดังนั้น หากใครที่ไม่ได้กินอาหารเช้า อาจจะหิวหนักในมื้อถัดไป และก็รับประทานมากกว่าเดิมอีก


 

เพราะอย่างที่รู้กันว่าอาหารทอดและอาหารที่ติดมันมาก ๆ อาทิ กุนเชียง หนังไก่ หมูสามชั้นทอดกรอบ หรือกากหมู เป็นต้น เป็นสาเหตุให้เกิดความอ้วนได้

ต่างกันกับการรับประทานผัก และผลไม้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก และยังมีใยอาหารสูงช่วยในเรื่องขับถ่ายได้ดี แต่การกินผลไม้ก็ควรเลือกผลไม้ที่ไม่มีแป้งหรือน้ำตาลเยอะเช่นกัน ที่สำคัญควรกินสด ไม่ควรกินเป็นแบบน้ำผลไม้ปั่นเพราะส่วนมากก็จะมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวานเข้าไปอีก แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์จากใยอาหารเท่าที่ควร

ในหนึ่งวัน เราควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้ 8 – 12 แก้วต่อวัน เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวเร่งระบบการเผาผลาญในร่างกาย จึงสามารถช่วยขจัดไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย ที่สำคัญหากใครที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอย่างจริงจัง สามารถดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้เราอิ่มเร็วขึ้น

 

การดื่มชาหรือกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน จะส่งให้เกิดความอ้วนได้ ซึ่งยังไม่นับรวมผู้ที่ชอบดื่มกาแฟแบบใส่ครีมเทียมซึ่งเป็นการเพิ่มแคลอรี่ในร่างกายเข้าไปอีก

 

น้ำตาลจากน้ำอัดลมก็เป็นสาเหตุของความอ้วนของใครหลายๆคน การงดการดื่มน้ำอัดลมก็เป็นการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกวิธีหนึ่งโดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบดื่มเป็นประจำ

 

 

หลายคนเวลาไปซื้ออาหารก็มักจะไม่ได้คำนึงถึงความพอเพียง เน้นเยอะเข้าว่า สุดท้ายอาหารเต็มบ้าน ก็อดไม่ได้ที่ต้องกิน แถมบางคนยังกินไปดูทีวีไปอีก กินเพลินๆแบบนี้ก็คือหนทางแห่งความอ้วนดีๆนี่เอง

 

 

การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ในระยะยาว ที่สำคัญ ยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ให้กลายเป็นพลังงานได้อีกด้วย ลองหาเวลาออกกำลังกายด้วยการเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เท่านี้ร่างกายก็จะไม่มีไขมันสะสมในร่างกายในปริมาณมาก ๆ แล้วค่ะ

 

#ป้าเจน #กินยังไงไม่ให้อ้วน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ที่มา: MomAndBaby, BangkokHospital

5 ท่าบริหารปอด

ทุกคนคะ! มา #บริหารปอด กันค่ะ

พยายามทำให้ได้ทุกวันเพื่อให้ปอดแข็งแรง พร้อมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ

 

 

 

#ท่าบริการปอด

#ป้าเจน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ผู้ที่หายป่วย ควรพักฟื้นอย่างไร

ผู้ที่หายป่วยและได้ออกจากโรงพยาบาลหลังเข้ารับการรักษาจนครบ 14 วัน หรือกลับมากักตัวที่บ้านจนครบ 14 วัน จัดว่าเป็นผู้ที่พ้นระยะการแพร่เชื้อ และอยู่ในระยะที่ร่างกายฟื้นตัว สามารถทำงานได้ตามปกติแล้ว แต่ก็ยังต้องให้ปฏิบัติตัวดูแลสุขอนามัยตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคนะคะ ซึ่งผู้ที่เคยติดเชื้อจะมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลัง 3 เดือนไปแล้ว จึงจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนในภายหลังด้วยค่ะ

สำหรับข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่หายป่วยจากโควิดแล้วมีดังนี้ค่ะ

1. ไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือแยกตัวจากผู้อื่น เพราะหายจากโรคแล้ว (ซึ่งต่างจากกรณีเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง หรือเพิ่งจะได้รับการวินิจฉัย จึงต้องกักตัวหรือแยกตัวจากผู้อื่น) แต่ยังคงแยกห้องนอน ห้องน้ำจากผู้อื่น หรือทำความสะอาดหลังใช้ทุกครั้ง

2. การดูแลสุขภาพอนามัย ให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น

3. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระหรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนและหลังสัมผัสจุดเสียงที่มีผู้อื่นในบ้านใช้ร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได มือจับตู้เย็น เป็นต้น

4. ไม่ใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารและแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น

5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และมีประโยชน์ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ

6. เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร

7. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และหากมีอาการป่วยเกิดขึ้นใหม่หรือมีอาการเดิมมากขึ้น เช่น ไข้สูง ไอมาก เหนื่อย แน่นหน้าอก หอบ หายใจไม่สะดวก เบื่ออาหาร ให้ติดต่อสถานพยาบาล หากต้องเดินทางมาสถานพยาบาล แนะนำให้สวมหน้ากากระหว่างเดินทางตลอดเวลา

หมายเหตุ : การพักฟื้นที่บ้าน ควรปฏิบัติจนครบ 1 เดือนเพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค

#ด้วยความห่วงใย

#หมอจิน #ป้าเจน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

อาหารบำรุงปอด

มาบำรุงปอดกันค่ะ ^^

ทานอาหารที่เป็นประโยชน์แล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ

#อาหารบำรุงปอด

#ด้วยความห่วงใย

#ป้าเจน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

HOMEISOLATION

ถ้าต้อง #กักตัวที่บ้าน ต้องเตรียมอะไรบ้าง และมีข้อปฏิบัติตัวอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งกับตัวเองและคนในบ้านที่เรารัก วันนี้ป้าเจนและหมอจินเอาข้อมูลมาฝากค่ะ ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็แชร์ไปได้เลยนะคะ

 

#HomeIsolation

#ด้วยความห่วงใย

#หมอจิน #ป้าเจน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

โรคที่มากับน้ำท่วม

ฝนยังตกอยู่ หลายจังหวัดก็ยังท่วมอยู่ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกคนค่ะ ❤

#โรคที่มากับน้ำท่วม

#ป้าเจน #หมอจิน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

www.gingen.com

วัคซีนอะไร ที่ผู้สูงอายุควรฉีด

นอกจากวัคซีนโควิด-19 แล้ว อย่าลืมว่ายังมีวัคซีนตัวอื่นๆที่ผู้สูงอายุควรจะต้องฉีดเป็นประจำรายปี หรือที่ต้องฉีดอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยนะคะ วันนี้หมอจินกับป้าเจนเลยรวบรวมวัคซีนที่จำเป็นและสำคัญสำหรับผู้สูงอายุมาฝากกันค่ะ ^^

#ด้วยความห่วงใย

#หมอจิน #ป้าเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน