การ์ดอย่าตก! “ที่เที่ยวหลังปลดล็อค” เที่ยวที่ไหนสบายใจ คนน้อย ปลอดคน มาดูกันเลย!!!

แนะนำ 7 สถานที่ท่องเที่ยว คนน้อย

เหมาะกับการมาผ่อนคลายหลังปลดล็อคดาวน์
จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเล้ยย!

ละลุ สระแก้ว

      ที่เที่ยว unseen ละลุ สระแก้ว  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของธรรมชาติ ด้วยน้ำฝนที่กัดเซาะ และการพังทลายของดินและยุบตัว ทำให้ดินที่แข็งจะยังคงอยู่ และเมื่อถูกลมกัดกร่อนจะมีลักษณะเป็นรูปต่าง ๆ ดูคล้ายกับกำแพง

เป็นการสะสมของตะกอนดินที่ใช้เวลาถึง 150 ล้านปี เลยทีเดียว สายชัตเตอร์ ถ่ายรูปออกมา รับรองว่าเลิศแถมยังได้ฟีลลิ่งของ ยูทาห์ อีกทั้งยังเป็นที่เที่ยวที่คนยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ รับรองไม่วุ่นวาย ถ่ายกันเพลิน ๆ ยิ่งถ้าไปวันธรรมดา ที่เที่ยวคนไม่เยอะ แน่นอน

เขาคูหา สงขลา

      ที่เที่ยวแบบธรรมชาติสุดๆก็ต้อง ทะเลหมอก  ที่ เขาคูหา จังหวัดสงขลา ห่างจากตัวหาดใหญ่แค่ 30 กิโลเมตร ความโดดเด่นของที่นี่ก็คงไม่พ้น ภาพของร่องภูเขา ที่รายล้อมไปด้วยต้นสน ถ่ายรูปออกมาแล้ว ได้ฟิลเมืองนอกเบา ๆ แถมยังเป็น ที่เที่ยวคนไม่เยอะ อากาศดี วิวสวย แนะนำให้มาถึงในช่วงเช้า เพื่อจะได้ชมทะเลหมอกกันแบบ 360 องศา แค่หลับตานึกภาพก็ฟินสุด ๆ

สวนยาหลวง น่าน

      มาต่อกันที่จังหวัดน่าน กับ ที่เที่ยวธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ชอบความเงียบ สงบ แต่ต้องสวยอย่าง สวนยาหลวง นี่คือตอบโจทย์ที่สุด เพราะเป็นที่เที่ยวเหมาะสำหรับนักผจญภัย สายลุย เพราะในการเดินทางไปยังสวนยาหลวงนั้น ต้องต้องใช้รถ 4WD พาขึ้นไปเท่านั้นค่ะ ด้วยถนนลูกรัง ค่อนข้างชัน และคดเคี้ยวไปมา

แต่เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็ต้องบอกเลยว่า คุ้มค่าจริงๆ เพราะ ภาพที่เราจะได้เห็น และสัมผัสด้วยตาตัวเองก็คือ ทุ่งหญ้าสีเขียว ที่มีทิวเขาล้อมรอบ และสันเขาที่เรียงตัวทอดยาว ๆ ที่นี่สามารถกางเต็นท์ หรือนอนโฮมสเตย์ของชาวบ้านท่ามกลางไร่กาแฟก็ได้ความฟินไปอีกแบบ

ปราสาทหินพันยอด สตูล

      มันมีจริงนะ ปราสาทหิน กลางทะเลของเมืองไทย ปราสาทหินพันยอด สตูล ที่มีอายุมากกว่าล้านปี ตั้งอยู่ที่ บ้านบ่อเจ็ดลูก ในเขต อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา โดยความสวยงามตามธรรมชาติอันน่าประทับใจนี้ เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลก และการกัดเซาะของธรรมชาติ ทำให้หินมีรูปร่างแปลกตา รวมถึงยังมีร่องรอยฟอสซิลต่าง ๆ เช่น แมงดาทะเล ปลาหมึกโบราณ และหอยงวงช้าง อีกด้วย

ทะเลน้อย พัทลุง

      ลงใต้กันทั้งที่ ไม่มาที่นี่ถือว่าพลาด!! ทะเลน้อย เป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลนางตุง และ ตำบลทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ที่นี่จะมี คลองนางเรียม ซึ่งยาว 2 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างทะเลน้อยกับทะเลสาบสงขลา ที่นี่ได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า อุทยานนกน้ำทะเลน้อย ซึ่งนับเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย

และที่บอกว่าพลาดไม่ได้ ก็คือ การลงเรือพายเที่ยวชมบัวแดงในทะเลสาบ ที่มีนกน้ำกว่า 200 ชนิด ซึ่งจะมีนกมากที่สุดในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน เป็นแสนๆ ตัวที่เดียว และสิ่งที่หลายคนตั้งใจมาดูก็คือ ควายน้ำ ซึ่งจะอยู่ตามธรรมชาติ ควายที่นี่จะดำน้ำลงไปกินหญ้าที่จมอยู่ใต้น้ำได้ ว้าวไหมละคะ

ล่องแพไม้ไผ่ วังเคียงคู่ พังงา

      มาลองสัมผัสธรรมชาติล่องแพไปเที่ยวแบบส่วนตัว ท่ามกลางสายน้ำไหลเย็น บรรยากาศร่มรื่นสุดๆ ที่นี่เป็นสถานที่แนะนำ ที่คนไม่เยอะ ค่อนข้างเงียบสงบ อีกแห่งหนึ่งในพังงา เพราะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก

สำหรับแพไม้ไผ่นั้น ลำนึงสามารถนั่งได้ 2 คน ราคาประมาณ 500 บาท จะมีชาวบ้านมาพายให้เราได้ชมธรรมชาติไป ถ่ายรูปสวย ๆ รับรองว่าฟินกันแน่นอน

ดอยแม่ตะมาน์ สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่

      ไปเที่ยวเชียงใหม่ ปีนี้ มารับลมหนาวกันที่ ดอยแม่ตะมาน สันป่าเกี๊ยะ  ตั้งอยู่ใน หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน อำเภอเชียงดาว ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ใช้สำหรับทดลองโครงการพัฒนาที่สูง ไทย-ออสเตรเลีย มีแปลงทดลองปลูกพืช และผลไม้เมืองหนาว มากมายหลายชนิด

และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ในช่วงต้นเดือนมกราคมไปจนถึงกลางเดือน จะมี ดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่จะผลิบานออกดอกสวย ๆ แนะนำให้จัดทริปกางเต็นท์ รับรองไม่อยากกลับบ้านกันเลย แต่ถ้าใครไม่สะดวก ที่นี่ก็บ้านพักไว้บริการนะคะ

และที่สำคัญนะคะ เดินทางไปเที่ยวในช่วงเข้าหน้าหนาวแบบนี้ อุ่นใจ สบายท้อง ได้ด้วยน้ำจินเจน ที่สามารถพกติดตัวไปเที่ยวได้ทุกที่เลยนะคะ แค่ฮีกซอง เทน้ำร้อนใส่ ก็ดื่มได้ทุกที่ ช่วยแก้เมารถเราเรือ เพิ่มความอบอุ่นในร่ายกาย แถมช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกายได้อีกด้วยนะคะ

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สั่งสินค้าออนไลน์ได้ทาง https://shop.gingen.com

“น้ำขิงอุ่นๆ” แก้ปวดไมเกรนได้

ขิง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale Roscoe. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก ขิงนอกจากจะเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ และอีกมากมายแล้ว ยังมีการศึกษาวิจัยล่าสุดในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในการใช้ขิงรักษาอาการปวดไมเกรนอีกด้วย

โดยทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีระยะการเป็นไมเกรนมาประมาณ 7 ปี มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างการให้แคปซูลขิง 250 มิลลิกรัม กับยาแผนปัจจุบันชื่อ “ซูมาทริปแทน” ขนาด 50 มิลลิกรัม เมื่อมีอาการปวดไมเกรน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน คือ สามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และพบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบัน คือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ในขณะที่ยาซูมาทริปแทน มักทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ง่วงนอน อาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) 

การที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostiglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบ ซึ่งยังมีข้อมูลในการใช้ขิงในการบรรเทาอาการปวดข้อมาก่อนหน้านี้ อีกทั้ง ขิงยังมีสรรพคุณในการแก้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ซึ่งอาการดังกล่าวมักพบว่าเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการปวดไมเกรน จึงถือได้ว่าขิงเป็นสมุนไพรอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยไมเกรน และหากใครชื่นชอบการดื่มน้ำขิงอยู่แล้ว ก็สามารถจิบน้ำขิงอุ่นๆ เวลาปวดไมเกรนได้เช่นกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: คมชัดลึก

ภาพจาก: Canva

#ด้วยความห่วงใย

#ขิงผงสำเร็จรูป #จินเจน

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ช้อปจินเจนออนไลน์ได้ที่ shop.gingen.com

จินเจน สูตรไหนเหมาะกับคุณ!!

น้ำขิงจินเจนมีหลากหลายสูตร

แต่ละสูตรจะมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร❓

เราควรทานสูตรไหนนะ❓

วันนี้จินเจนมีคำตอบ

 

————————

ซื้อจินเจนได้ที่ห้างใกล้บ้านคุณ

สั่งออนไลน์ได้ที่👉 shop.gingen.com

————————

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ชงดื่มดีมีประโยชน์

#ปรุงอาหารก็อร่อย

ประโยชน์ของการกินเจ

คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย

 

ช่วงเวลาเทศกาลกินเจ

ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน

เทศกาลกินเจปี 2564 ปีนี้ตรงกับ ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม – 14 ตุลาคม 2564 รวมเป็นเวลา 9 วัน ซึ่งบางท่านอาจจะล้างท้องวันที่ 5 ตุลาคม เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคยกับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น รวมเป็น 10 วัน

ประโยชน์ของการกินเจ?

  1. กินเจ ทำให้สุขภาพดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหารชีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน” และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย
  2. กินเจ ได้ทำบุญ เนื่องจากได้ชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น
  3. กินเจ ทำให้ได้ละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค หากเราทราบว่าการงดบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น


นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ห้ามกินอะไรบ้าง?

  1. ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
  2. นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
  3. อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
  4. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  5. ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น


อาหารที่ทานได้ระหว่างกินเจ

  1. ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
  2. วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
  3. ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
  4. พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
  5. ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
  6. มาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)
  7. แต่งหน้า และฉีดน้ำหอม (สำหรับคนถือศีล 5 หากถือศีล 8 จะทำไม่ได้)

การกินเจอาจจะดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนชอบทานเนื้อสัตว์ แต่ถ้าได้ลองกินเจแล้ว หลายคนก็ติดใจเนื่องจากจะได้สุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ก็ยังอิ่มบุญอิ่มใจจากการถือศีลอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส. , Sanook.com

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com


ด้วยความปรารถนาดี
#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

8 วิธี แก้อาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง หรือ Morning sickness เป็นอาการหรือความรู้สึกไม่สบายที่เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 80-90% ส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียมากกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งอาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อมีอายุครรภ์มากกว่า 3 เดือน  สำหรับสาเหตุของอาการแพ้ท้องนั้นเป็นผลมาจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนที่ชื่อว่า “HCG” (Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้คุณแม่เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้คุณแม่ลดอาการแพ้ท้องมาฝากกันค่ะ


1. ดื่มน้ำขิง
เมื่อรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนให้จิบน้ำอุ่นหรือดื่มน้ำขิงอุ่นๆ (ควรเป็นขิงแท้ 100% ไม่ผสมน้ำตาล) เพราะขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก และอาการคลื่นไส้ได้

2. แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ
คุณแม่ควรทานอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง อาจแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ ประมาณ 5-6 มื้อต่อวัน และเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย เป็นมิตรกับกระเพาะอาหาร เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปผักต่างๆ เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้เต็มที่ และช่วยลดอาการแน่นท้องของคุณแม่ได้อีกด้วย

3. ผลไม้ช่วยได้
มีผลไม้หลายชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของคุณแม่ได้ เช่น ส้ม สับปะรด ช่วยในการย่อยอาหารและรักษาอาการคลื่นไส้ และ กล้วย ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดและบรรเทาอาการแพ้ท้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอดีไม่มากจนเกินไปค่ะ

4. ฝึกสมาธิ
ความเครียด เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง ดังนั้นการนั่งสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียด และบรรเทาอาการแพ้ท้องให้ดีขึ้นได้ค่ะ นอกจากหากฝึกสมาธิเป็นประจำจะทำให้คุณแม่อารมณ์ดีซึ่งก็จะส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์ด้วย

5. ดื่มน้ำมะนาว
ทานหรือดื่มอะไรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว อาจจะฝานมะนาวแผ่นบางๆ ลงไปในน้ำชาหรือผสมน้ำแร่กับน้ำมะนาวดื่ม ก็ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้มากค่ะ


6. ดื่มน้ำเยอะๆ
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญของหญิงตั้งครรภ์ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ แต่คุณแม่ต้องค่อยๆ จิบนะคะ เพราะถ้าดื่มคราวละมากๆ ก็จะเป็นผลเสียทำให้คลื่นไส้ได้ค่ะ

7. เดินเล่นหรือเดินช้อปปิ้ง
มีบทความตีพิมพ์จากงานวิจัยของชาวอเมริกันบทความหนึ่งพบว่า การเดินไปเดินมาสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ รวมไปถึงอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ด้วย เช่น อาการจุกเสียด นอกจากจะช่วยคุณแม่ลดอาการแพ้ท้องแล้ว การออกไปเดินช้อปปิ้งยังทำให้คุณแม่ลดอาการเครียดได้อีกด้วยค่ะ


8. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ถ้าคุณแม่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีอาการอ่อนเพลีย อาจจะทำให้อาการแพ้ท้องนั้นแย่ขึ้น ดังนั้นหากรู้สึกเหนื่อย หรือมีอาการแพ้ท้อง อาจจะต้องพักจากกิจกรรมที่ทำอยู่ หรือหาเวลางีบระหว่างวันก็จะช่วยได้ค่ะ

แต่หากพบว่า มีอาการแพ้ท้องที่หนักกว่านี้ เช่น อาเจียนบ่อย จนคออักเสบ และพบว่าตัวเองไม่สามารถกินอะไรได้เลย ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วนนะคะ

ผู้สูงอายุนอนไม่หลับ ทำยังไงดี?

อาการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ มักมีสาเหตุมาจากสมองทำงานไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอาการนอนไม่หลับนี้หากสะสมนานเข้าจะอันตรายมาก เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ร่างกายทรุดโทรม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือส่งผลต่อด้านสุขภาพ จนเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาได้ ยิ่งกว่านั้น อาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการเตือนของโรคอื่น ๆ ทางสมองได้อีกด้วย

การนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ มาจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ

1. การเปลี่ยนแปลงของอายุที่มากขึ้น โดยปกติเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น สมองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ส่งผลกับการนอนของผู้สูงอายุ คือ ระยะเวลาของการนอนตอนกลางคืนจะลดลง ใช้เวลานานขึ้นหลังจากเข้านอนเพื่อที่จะหลับ ช่วงระยะที่หลับแบบตื้น (ตอนที่กำลังเคลิ้ม แต่ยังไม่หลับสนิท) จะยาวขึ้น ขณะที่ช่วงระยะที่หลับสนิทจริงๆ จะลดลง มีการตื่นขึ้นบ่อยๆ กลางดึก อย่างไรก็ตามแม้ผู้สูงอายุจะมีสุขภาพดีทั้งกายและใจสมวัย ก็อาจรู้สึกว่าตัวเองนอนน้อยลง หรือคิดไปว่านอนไม่หลับ แต่มีข้อที่น่าสังเกต คือ ผู้ป่วยกลุ่มนี้แม้จะดูเหมือนว่านอนไม่หลับแต่ช่วงกลางวันมักจะไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด

2. มีโรคซ่อนอยู่ ยาบางประเภทโดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ในระบบประสาทส่วนกลาง หรือสมอง ทำให้ผู้สูงอายุมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ เช่น ใช้ยานอนหลับนานๆ ยารักษาอาการสั่น เคลื่อนไหวช้าในโรคพาร์กินสัน หรือบางครั้งอาจเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคอื่นที่ไม่เกี่ยวกับโรคทางสมอง เช่น แอลกอฮอล์ในยาน้ำแก้ไอ หรือ คาเฟอีนที่ผสมอยู่ในยารักษาโรคหวัด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุหยุดการใช้ยาเหล่านี้ อาการนอนไม่หลับก็จะหายไปเอง นอกจากนั้น ผู้สูงอายุที่มีโรคใดก็ตามที่ทำให้ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน ก็จะมีผลต่อการนอนด้วย เช่น ผู้เป็นเบาหวาน โรคต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุชาย โรคไตวายเรื้อรัง หรือแม้แต่การใช้ยาขับปัสสาวะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจวาย ก็ทำให้มีปัสสาวะตอนกลางคืนได้บ่อย หรือผู้สูงอายุที่เริ่มมีสมองเสื่อมในระยะแรกก็มักจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือภาวะซึมเศร้าก็เป็นสาเหตุของการนอนยากในผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน

ข้อปฏิบัติที่ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับในผู้สูง

  • พยายามหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หรือจำกัดเวลาการนอนกลางวัน ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมงในช่วงบ่าย
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โดยเฉพาะการทานในเวลาเย็น เป็นต้น
  • ไม่ควรดื่มน้ำในช่วง 4-5 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเข้านอน ถ้ามีปัญหาปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ
  • เพิ่มกิจกรรม หรือการออกกำลังกาย ในช่วงเวลากลางวันให้มากขึ้น
  • ถ้าผู้สูงอายุไม่มีอาการง่วงนอนเมื่อถึงเวลาเข้านอน และไม่สามารถนอนหลับได้ ก็ควรลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ดีกว่าที่จะนอนกลิ้งไปมาบนเตียง
  • กำหนดเวลาอาหารมื้อเย็นให้คงที่ สม่ำเสมอ และควรจะเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง
  • เมื่อเทียบกับมื้ออื่นๆ
  • พยายามจัดสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนให้เงียบ และมืดพอสมควร ไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป
  • ฝึกการทำสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ

หากลองทำตามวิธีข้างต้นแล้ว อาการนอนไม่หลับยังไม่ดีขึ้น ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุอื่นๆเพื่อทำการรักษาต่อไป

ที่มา: โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน

ด้วยความปรารถนาดี

จินเจน
ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

8 เคล็ดลับ!! รับมือกับ “ความเครียด”

“ความเครียด” เป็นหนึ่งสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ทั้งสุขภาพของร่างกาย และสุขภาพของจิตใจ

หากเราเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในภาวะเครียด หรือกำลังมีเรื่องกังวลทำให้ทุกข์ใจอยู่ ควรหาวิธีผ่อนคลาย ลดความเครียดเหล่านั้นลง เพื่อสร้างกำลังใจ ให้กลับมาสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างมีสติได้ต่อไป

วันนี้เรามี 8 เคล็ดลับ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อรับมือกับความเครียดมาฝากกันค่ะ

1. หายใจลึกๆ เป็นขั้นตอนแรกๆที่แนะนำให้ทำ เพราะการหายใจเข้าลึกเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียกสติกลับมาให้อยู่กับลมหายใจ และตั้งรับกับปัญหาได้ขึ้น
2. ยืดเส้นยืดสายเบาๆ อีกหนึ่งวิธีลดความตึงเครียดที่หลายคนใช้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากปัญหาที่กำลังคิดวนอยู่ ไปอยู่กับเรื่องอื่น โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ที่ได้ออกแรง เรียกเหงื่อ ซึ่งจะช่วยให้สารอะดรีนาลีนหลั่งมามากขึ้น ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น และพร้อมกลับมาจัดการกับปัญหาต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
3. จิบน้ำหรือน้ำขิงอุ่นๆ ว่ากันว่าหนึ่งในสรรพคุณของน้ำขิง ก็คือช่วยในการผ่อนคลาย อุ่นท้อง ปรับสมดุลในร่างกาย เมื่อสมองและร่างกายผ่อนคลายขึ้น ก็เป็นการช่วยลดความเครียดลงได้นั่นเอง
4. ฟังเพลง / ฮัมเพลงที่ชอบ  ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับลดความเครียด ด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงที่เราชอบให้เพลินๆไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหากันใหม่ แบบนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
5. หลับตาสักพัก หรือจริงๆก็งีบสักพักก็ได้นะคะ ลองปิดรับข้อมูลจากทุกช่องทางประสาทสัมผัสสักครู่ ก็จะเป็นการพักจากปัญหา ชาร์จพลัง แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่กันค่ะ
6. นึกถึงเรื่องขำ ๆ ที่ทำให้หัวเราะได้  ข้อนี้ถ้าใครนึกเรื่องขำๆไม่ค่อยออก ก็แนะนำลองเปิดดูคลิปตลก หรือคลิปที่เคยทำให้เราหัวเราะได้มาดูอีกที ได้หัวเราะบ้างในช่วงที่เครียดๆ ก
ช่วยผ่อนคลายได้ดีเหมือนกันนะคะ
7. คุยกับใครสักคนที่ไว้ใจ  เรื่องเครียดบางเรื่อง เราอาจจะแก้ปัญหาไม่ออกด้วยตัวเราเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ แต่การได้พูดคุย ได้ระบายกับใครสักคนที่เราไว้ใจ ก็สามารถช่วยให้เรื่องที่อัดแน่นอยู่ในความคิดตอนนั้น ค่อยคลี่คลายออกมาก็ได้ และบางที เราก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ หรือทางออกของปัญหาจากคนที่เราคุยด้วยก็ได้นะคะ
8. ทำใจยอมรับแล้วมันจะผ่านไป  เคล็ดลับข้อสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าเรากำลังแบกรับเรื่องอะไรอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีความเครียดมากน้อยเพียงใด ให้เข้าใจว่า มันก็จะมีทางออกของมันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องตั้งสติ ไม่คิดอะไรที่ไม่ดี ที่จะเป็นการสร้างปัญหาที่มากขึ้น แล้วเวลาก็จะทำให้เรื่องนั้นๆมันก็จะผ่านไปได้

ขอให้อดทน คิดดี ทำดีเอาไว้ แล้วเราจะผ่านเรื่องๆร้ายๆไปด้วยกันะคะ

 

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ประโยชน์ของ “ขิง” ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ระบุว่า ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol, Shogoal และ Paradoal โดยพบว่า ขิงสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ สารในขิงบางตัว ยังทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ขิงก็ยังเป็นสมุนไพรที่ดีและมีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ โดยฤทธิ์ร้อนของขิงจะไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังมีบางรายงานการศึกษายังระบุเพิ่มเติมว่าขิงสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย ในทางการแพทย์แผนไทยฤทธิ์ร้อนจากขิงสามารถช่วยลดการกำเริบของเสมหะและลม ซึ่งจะพบในโรคหวัด ไอ หอบหืด ตำรับน้ำขิงแก้หวัดแก้ไอจึงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย

เราสามารถนำขิงมาต้มน้ำ ทำเป็นน้ำขิงสำหรับดื่ม หรือ อาจจะนำขิงไปผัดคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น ปลาผัดขิง ก็จะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น

ในปัจจุบัน เพื่อลดความยุ่งยากในการหาขิงสดมาปรุงอาหาร หรือต้มดื่ม และปัญหาของการเก็บรักษาขิงสดไว้เป็นระยะเวลานานไม่ได้ จึงมีผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปมาทดแทน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปที่สกัดจากขิงธรรมชาติแท้ 100% รวมถึงมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อความมั่นใจถึงคุณภาพและสรรพคุณของขิงที่ยังคงไว้อย่างครบถ้วน

ผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปตราจินเจนอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 40 ปี  ซื้อสินค้าจินเจนทางออนไลน์ได้ที่ https://shop.gingen.com

ขิงมีฤทธิ์ร้อน กรดไหลย้อนขิงก็ช่วยได้

โรค “กรดไหลย้อน” จะมีอาการแสบร้อนกลางอก ใครเป็นก็จะรู้ว่ามันทรมานมากเลย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า หากมีอาการแสบร้อนก็คงห้ามกินของที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไปอีก แต่ถ้ารู้จักกับสรรพคุณของสมุนไหรฤทธิ์ร้อนอย่าง “ขิง” แล้ว คุณจะเปลี่ยนความคิดแน่นอน

ก่อนอื่น เรามาดูว่าทำไมอาการกรดไหลย้อนถึงทำให้เรารู้สึก “แสบร้อนท้อง หรือหน้าอก” นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังมีแผลที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และถ้าไม่รีบรักษาแผลก่อนกรดไหลย้อน ก็จะยิ่งหายช้ามาก ร่างกายจะไม่หลั่งกรดออกมาเต็มที่เพราะกลัวเจ็บ พอเป็นแบบนี้ การย่อยก็จะแย่ อาการท้องอืดก็จะตามมา จนเป็นโรคเรื้อรังได้เลย

ซึ่งเราสามารถรักษาแผลที่ว่านี้ได้ด้วย “ขิง” นั่นเอง

คุณสมบัติของขิงที่ช่วยกรดไหลย้อน
– ขิงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของแผลได้ดีทำให้ร่างกายไม่กลัวการหลั่งกรด
– ขิงมีเอ็นไซม์ซิงจิเบนช่วยย่อยได้ดี ลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหาร
– ขิงลดการเกิดแก๊ส ท้องอืด ช่วยขับลมได้ดี
– ขิงช่วยให้กระเพาะบีบอาหารไปที่ลำไส้เล็กได้เร็วขึ้น ลดอาการกำเริบของกรดไหลย้อน
– จิบน้ำขิงทั้งวัน เพิ่มการดื่มน้ำทีละนิดทั้งวัน ยังกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

ด้วยความห่วงใย

จินเจน


สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ขอบคุณข้อมูลจาก hashicenter.com

ลดความเครียดด้วย “น้ำขิง”

จากหลายผลวิจัยบอกว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ แค่เครียดก็แย่แล้วยังจะต้องเจ็บป่วยเพราะความเครียดที่สะสมนานๆก็คงไม่ไหวนะคะ

การรับมือความเครียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลง หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย แต่ วันนี้ขอเสนออีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆสำหรับลดความเครียดมาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือ การดื่มน้ำขิง นั่นเเอง 

ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง

ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่ หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกันนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com