การเลี้ยงสัตว์ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?

สัตว์เลี้ยงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ลองใช้เวลาซัก 2-3 นาที นั่งดูตู้ปลากับสุนัขหรือแมวของคุณดู ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย และมันสามารถช่วยลดความเครียดของคุณลงได้

ช่วยลดความดันโลหิต

คนที่มีปัญหาความดันเลือดสูง อาจจะกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่รู้ไหมว่าการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความดันเลือดได้นะ จากการศึกษาพบว่าในคู่สามีภรรยาทั้งหมด 240 คู่นั้น คู่สามีภรรยาที่เลี้ยงสัตว์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจและระดับของความดันโลหิตในภาวะปกติต่ำกว่าคู่ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และมีอีกการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อได้รับสัตว์มาเลี้ยงแล้ว ค่าคามดันโลหิตของพวกเขากลับลดลง

ช่วยให้ระดับคลอเรสเตอรอลต่ำลง

คนส่วนใหญ่มักจะควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลด้วยการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก และสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยแล้ว การควบคุมระดับคลอเรสเตอรอสก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น มีผลวิจัยออกมาว่าผู้คนที่เลี้ยงสัตว์จะมีระดับของคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยง แต่เหตุผลนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นไปได้ว่ากิจกรรมในการใช้ชีวิตของผู้คนที่เลี้ยงสัตว์นั้นมีมากกว่า เช่นต้องพาสัตว์เลี้ยงไปจูงเดิน หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

ทำให้หัวใจแข็งแรง

จากการศึกษาใน 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขหรือแมว มีอัตราการตายด้วยภาวะหัวใจวายมากกว่าคนที่เลี้ยงถึง 40%

ช่วยลดอาการซึมเศร้า

คำกล่าวที่ว่าสุนัขหรือแมวรักคุณโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น เป็นจริงเสมอ และพวกเขายังสามารถช่วยปลอบคุณเวลาคุณรู้สึกซึมเศร้าได้อีกด้วย เชื่อไหมว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถฟังคุณพูดระบายความรู้สึกได้เป็นวันๆ เลยหล่ะ พวกเขาเป็นนักฟังที่ดี และจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ซึ่งบางทีในเวลาที่คุณแปรงขนให้กับเขา เล่นกับเขา หรือพาเขาไปจูงเดิน คุณสามารถพูดระบายสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

กระตุ้นการออกกำลังกายของคุณ

การเดินวันละ 30 นาทีของคุณจะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เพราะการจูงสุนัขเดิน 15 นาทีตอนเช้าและตอนเย็น จะทำให้คุณสนุกกับการเดินมากขึ้น หรือแม้แต่การเล่นกับเจ้าตูบที่สนามหน้าบ้าน ก็จะทำให้คุณได้มีกิจกรรมออกกำลังกายมากขึ้นเช่นกัน

เป็นคู่หูในการออกกำลังกายชั้นยอด

เคยไหม? เวลาเราอยากออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานในตอนเช้า แล้วชวนคนในบ้านไปด้วย เรามักจะได้รับคำปฏิเสธอยู่เสมอ แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นไม่เคยบ่นหรือปฏิเสธเวลาคุณชวนพวกมัน สัตว์เลี้ยงพร้อมจะไปเดินหรือเล่นกับคุณเสมอ

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

 

ให้เปลี่ยนวิธีกิน เมื่อเข้าวัย 50+

การมีสุขภาพดีในทุกช่วงวัย ส่วนหนึ่งวัดจากการมีปริมาณมวลกล้ามเนื้อที่เพียงพอได้ ช่วงวัยกลางคนหรือวัยทํางาน (อายุ 25-64 ปี) มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มหายไปอย่างช้าๆ ตั้งแต่อายุ 35 ปี และรวดเร็วขึ้นเมื่อย่างเข้าอายุ 70 ปี โดยเฉพาะเพศหญิง กล้ามเนื้อจะหายอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจําเดือน ดังนั้นหากไม่ได้ออกกําลังกายหรือทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุก็จะทําให้มีปัญหาสุขภาพจากมวลกล้ามเนื้อลดลงได้

.

ความชราทําให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ สร้างน้อยลง เซลล์ในร่างกายทํางานได้ช้า ลง ระบบประสาทสั่งการแย่ลง ส่งผลให้การขยับร่างกายถดถอยลง ช้าลง เดินไม่มั่นคง อ่อนเพลียง่าย หกล้มง่าย หรือไม่มีแรงขยับ ตัว นําไปสู่ภาวะการนอนติดเตียงในที่สุด

ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและชะลอการหายไปของกล้ามเนื้อ ทําให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรง ฟิต และสุขภาพดีใกล้เคียงกับช่วงวัยกลางคนได้ ด้วยการทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ เน้นทานโปรตีนที่เพียงพอ ร่วมกับการขยับร่างกายเพิ่มหรือออกกําลังที่มีการเกร็งกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวไม่เร็วมาก เช่น จี้กง โยคะ ไทเก๊ก การเล่นเวท หรือ ยางยืด ปั่นจักรยาน การเดินปกติ หรือเดินในน้ำ เป็นต้น

.

โปรตีน ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่มีโรคประจําตัวรุนแรงนั้น ไม่ได้ต่างจากวัยกลางคน ที่ความต้องการโปรตีนจะสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ โดยน้ำหนักตัวทุกๆ 10 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 3-4 ช้อนโต๊ะต่อวัน เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 5×3 = 15-20 ช้อนโต๊ะต่อวัน เลือกโปรตีนที่เคี้ยวง่ายหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ไข่ตุ๋น เนื้อปลา หมูสับหมักนิ่มหรือเนื้อสัตว์ตุ๋นจนนิ่ม นม เต้าหู้ เลือดหมู หรือไก่ เป็นต้น โดยสลับทานทั้งเนื้อสัตว์สีแดงและสีขาว เพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ

.

แป้ง ควรทานมื้อละ 3-4 ทัพพี เลือกประเภทนิ่ม เช่น ข้าวต้ม ข้าวหุงนิ่มๆ ขนมปังนิ่มๆ ฟักทอง มันนึงเนื้อนิ่มๆ หรือวุ้นเส้น เป็นต้น

ผักผลไม้ การกินให้หลากหลายจะช่วยให้ระบบร่างกายทํางานได้ดีขึ้น และป้องกันท้องผูก ทานผักมื้อละ 1-2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ฝ่ามือ โดยเลือกแบบที่นิ่มหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ผักที่ต้มหรือปรุงจนนิ่ม ส้ม มะละกอ แก้วมังกร แตงโม มะม่วงสุก กล้วยสุก ผักหรือผลไม้ปั่นพร้อมกาก เป็นต้น

.

ทานน้ำมันและน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซีอิ๊วไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอีกหลายๆ โรคในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ การดื่มนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็สําคัญ (นมถั่วเหลืองแนะนําประเภท UHT เนื่องจากมีการเติมแคลเซียมให้เท่าแคลเซียมในนมวัว) โดยทานวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ และการออกไปโดนแดดบ้างในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดีที่เพียงพอขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช

.

.

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สาร GINGEROL ในขิง ดีต่อสุขภาพยังไง?

 ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารหลายชนิด  เครื่องหอมต่าง ๆ และใช้ผสมในยาเพื่อบรรเทาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ เช่น แก้ท้องอืด, ขับลม, แก้คลื่นไส้อาเจียน, ใช้ทำยาแก้คันหรือลดอาการฟกช้ำต่าง ๆ  ในส่วนน้ำมันของขิงมีจะรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนและมีสรรพคุณรักษาต่าง ๆ เช่นกัน ดังนั้นขิงจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าขิงมีฤทธิ์ในการรักษาอาการต่าง ๆ  ในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการวิเคราะห์ว่าภายในขิงนั้นประกอบด้วยสารสำคัญอะไรบ้าง

        เมื่อนำขิงมาสกัดจะพบว่าสารสกัดขิงประกอบด้วย Gingerol ซึ่งเป็นสาร Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ในกลุ่มของสารฟีนอล ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นรสเผ็ดฉุนและมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและยับยั้งอาการปวดได้ สารกลุ่มแอนโทไซยานินมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), สารต้านอาการอักเสบ และรวมถึงสารต้านมะเร็งด้วย ดังนั้นสารกลุ่มแอนโทไซยานินจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ และถ้าหากศึกษาสาร Gingerol ในขิงซึ่งเป็นหนึ่งในสารกลุ่มแอนโทไซยานินแล้ว ก็จะพบว่า Gingerol นั้นก็มีประโยชน์ทางเภสัชศาสตร์ต่อร่างกายเช่นกัน เช่น

ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง – สาร Gingerol มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic) ต่อเซลล์มะเร็ง โดยนักวิจัยได้ทดลองเลี้ยงเซลล์มะเร็ง 3 ชนิดและหยดสาร Gingerol ที่ระดับต่าง ๆ จึงพบว่าเซลล์มะเร็งเหล่านั้นลดลงหรือถูกทำลายไป ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าสารสกัด gingerol จะนำมาพัฒนาต่อเป็นยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้

เป็นสารป้องกันการก่อมะเร็ง (chemo-preventive agents) – สาร Gingerol ในขิงสามารถลดการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอดได้ นอกจากนี้ยังไปลดอาการอักเสบเรื้อรัง รวมถึงต้านการสร้างเส้นเลือดใหม่ในเซลล์มะเร็ง (Angiogenesis) ได้

ช่วยการทำงานของไต – สาร Gingerol สามารถช่วยส่งเสริมให้ไตทำงานได้ดีขึ้น โดยสาร Gingerol จะไปลด Lipid peroxidation ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจเป็นอันตรายต่อไตได้

        นอกจากสาร Gingerol ในกลุ่ม Anthocyanin ของขิงนั้น ในขิงยังมีสาระสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ หรืออาการเมารถได้ โดยสาร gingerol และ Shogaol ของขิงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำตาลและเพื่อความตึงตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร  จากการทดลองและงานวิจัยมากมายในด้านเภสัชศาสตร์ของสารสกัดขิง ทั้ง Gingerol และ Shogaol  นั้นจะเห็นได้ว่าสารสกัดขิงนั้นมีประโยชน์มากมายและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้สารสกัดขิงยังเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่มีสารพิษเจือปน จึงสามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ในระยะยาว

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

 

ข้อดีของการ “นั่งสมาธิก่อนนอน”

ข้อดีของการทำสมาธิก่อนนอน

ความเครียดและความเร่งรีบในชีวิตประจำวันอาจทำให้เราเกิดความวิตกกังวลในใจ ถึงแม้อาการจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่เมื่อถึงเวลานอน หลายคนกลับพบว่าตัวเองหลับยาก ใจไม่สงบจนนอนไม่หลับ ทำให้นอนไม่พอ สมาธิสั้น และสุขภาพจิตย่ำแย่ การนั่งสมาธิก่อนนอนก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้นและหลับสนิทได้อย่างที่หลายท่านทราบกันดีอยู่แล้ว

แต่นอกจากนั้น การนั่งสมาธิก่อนนอนยังมีประโยชน์อีกหลายด้านสำหรับเรานะคะ ทั้งด้านร่างกาย สุขภาพ และอารมณ์ ดังนี้ค่ะ

– ช่วยลดอาการปวดศีรษะจากความเครียด

– ช่วยลดความเศร้าและความวิตกกังวล

– ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของร่างกาย

– ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบช่วงวัยหมดประจำเดือน

– ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

– ทำให้เรามีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้น

– ทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต

– ทำให้เกิดจินตนาการและยกระดับความคิดสร้างสรรค์

– เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำงาน

การทำสมาธิมีความปลอดภัย สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่สำหรับผู้ป่วยบางโรคไม่ควรใช้การทำสมาธิเพื่อรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้เป็นตัวช่วยเสริมจากการรักษาตามปกติจะดีกว่านะคะ เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาก่อนจากนั้นจึงใช้วิธีทำสมาธิมาช่วยบรรเทาอาการทางร่างกายและจิตใจค่ะ 

เห็นไหมคะว่าการทำสมาธิมีประโยชน์หลากหลาย ขอแค่เราฝึกเป็นประจำอย่างน้อยว่าละ 3-5 นาที จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าเห็นผลและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์แน่นอนค่ะ

#ข้อดีของการนั่งสมาธิก่อนนอน

#ด้วยความห่วงใย

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ดีมีประโยชน์ปรุงอาหารก็อร่อย

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 วิธีกินขิง เพิ่มการเผาผลาญกับอาหารมื้อเช้า

ขิงเป็นสมุนไพรที่เรากินบ่อยกับโจ๊กหรือข้าวต้ม หรือนำไปดองกินกับเป็ดย่างหรือไส้กรอกอีสาน นอกจากจะทำให้อาหารรสชาติดีมีกลิ่นหอมแล้ว ขิงยังจัดว่าเป็นอาหารซุปเปอร์ฟู้ดที่ดีกับสุขภาพหลายด้าน ซึ่ง  วิธีกินขิงเพิ่มเผาผลาญ กับอาหารมื้อเช้า  ช่วยเสริมการคุมน้ำหนักให้ง่ายขึ้น อีกทั้งมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้ามีขิงผสมอยู่ก็จะทำให้มื้อแรกของคุณมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่การที่คุณจะกินข้าวต้มหรือโจ๊กใส่ขิงทุกวันมันก็น่าเบื่อ เรามีวิธีกินขิงแบบง่ายๆ ไม่จำเจมาฝาก

  1. ขิง&กาแฟ

กาแฟอุดมมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอลที่ช่วยชะลอวัย ถ้าคุณดื่มในปริมาณที่พอดี ทั้งลดความเหนื่อยล้า ทำให้ตื่นตัวและช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟในตอนเช้าลองเติมขิงลงไปสักนิดไม่เกิน 1 ช้อนชา คุณจะได้กาแฟขิงที่มีรสเผ็ดนิดๆ ซึ่งดีกับระบบย่อย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

  1. ชาขิง&มะนาว&น้ำผึ้ง

  หากคุณไม่ใช่คอกาแฟแต่อยากจะเพิ่มการเผาผลาญด้วยขิงก็ลองชาขิงสูตรนี้ โดยการนำขิงสดหั่นแว่นสัก 5-6 แว่นใส่ลงในน้ำต้มเดือด 1 ถ้วยปิดฝา 15-20 นาที กรองกากดื่มแต่น้ำหรือจะใช้ขิงผง 100% แทนก็ได้ค่าเพื่อความสะดวก เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะแล้วแต่ชอบ ดื่มหลังอาหารเช้า คุณจะรู้สึกสดชื่น อิ่มเร็ว ทั้งยังไปกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น ใครที่มีไขมันพุงหนาก็ห้ามพลาด

  1. ขิง&กราโนล่า

สำหรับคนที่เป็นสายสุขภาพทั้งกาโนล่ามักถูกเลือกให้เป็นอาหารเช้าของคุณบ่อยๆ เพื่อควบคุมน้ำหนักละก็ลองขูดขิงสดขนาด 1 นิ้วลงในชามกาโนล่า นอกจากจะได้กลิ่นที่หอมของขิงผสมรสเผ็ดนิดๆ แล้ว คุณยังได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเจ้ากาโนล่าอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ มีกากใยสูง ช่วยให้การขับถ่ายคล่อง บำรุงผิวพรรณ ส่วนขิงก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ เร่งเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายแถมผิวสวยเปล่งปลั่งได้อีก ถ้าหากคุณไม่มีขิงสดใช้ขิงผง 1 ช้อนชาแทนก็ได้นะคะ 

  1. ขิง&สมูทตี้

มาที่สมูทตี้เครื่องดื่มสุขภาพอีกอย่าง ซึ่งหลายคนนิยมปั่นผักผลไม้เพิ่มโปรตีนดื่มกันในช่วงเช้า ซึ่งประโยชน์ของเจ้าสมูทตี้ก็แล้วแต่สูตรว่า คุณต้องการให้ร่างกายได้อะไรในแต่ละวัน ลองเพิ่มขิงสดหรือจะใช้น้ำขิงลงไปปั่นด้วย ถ้าไม่มีอีกก็ขิงผง 1 ช้อนชาแทน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การเผาผลาญให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย ลดอาการปวดประจำเดือนของมนุษย์เมนส์ลงได้

  1. ขิง&ข้าวโอ๊ต

 หลายคนเลือกข้าวโอ๊ตเป็นอาหารมื้อเช้าในการควบคุมน้ำหนัก เพราะให้พลังงานสูงแต่ไขมันต่ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มนานและเหมาะสำหรับคนที่แพ้กลูเตนแล้ว ข้าวโอ๊ตยังช่วยลดโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ไฟเบอร์สูงทำให้การขับถ่ายดี หากข้าวโอ๊ตเป็นเมนูอาหารเช้าของคุณ ลองเติมขิงผงสัก 1 ช้อนชา หรือขิงสดขนาด 1 นิ้วขูดลงไปสักหน่อย เค้าจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายของคุณ ลดพุงลดรอบเอวไม่ยากเลย

     สำหรับวิธีกินขิงในมื้อเช้า คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการและจะให้ได้ผลดีที่สุดควรออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

8 วิธี ลดไขมันในเส้นเลือด

8 วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง ได้ผลแน่นอน!!

ไขมันในเลือดสูง เป็นโรคที่พบได้ทั้งในวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว และนี่คือ วิธีป้องกันไขมันในเลือดสูง ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ

1.ควรได้รับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน

โดยปกติแล้วคนเราไม่ควรได้รับคอเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงมักพบในเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่นกกระทา หอยนางรม ปลาหมึก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหรือควรทานในปริมาณที่จำกัด

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว

ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ไขมันสูง อย่าง หมูสามชั้น สันคอหมู ขาหมูติดมัน หนังไก่ เบคอน แฮม ไส้กรอก ควรรับประทานเนื้อสัตว์มีไขมันอิ่มตัวน้อยอย่าง ปลาและอกไก่ และควรงดอาหารจำพวกกะทิเพราะจะมีไขมันอิ่มตัวสูง

3.รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง

ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง เช่น แอปเปิ้ล แก้วมังกร ฝรั่ง ชมพู่ ส้ม มะละกอ เพราะในอาหารเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมากซึ่งจะช่วยดูดซึมไขมันให้ลดน้อยลง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี

ควรรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยกรดโอเลอิกจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง พิสตาชิโอ ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก

5.ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง

ควรหันมาดื่มนมไขมันต่ำ เช่น พร่องมันเนย นมขาดมันเนย หรือ โยเกิร์ตไขมันต่ำ อีกทั้งนมธัญพืชยังเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพราะมีไขมันชนิดดีช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดีได้ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง นมข้าว

6.ควบคุมน้ำหนัก

ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ซึ่งควรอยู่ระหว่าง 18.5 – 22.9 กก./ เมตร2 หากน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ควรลดอาหารประเภทแป้งแล้วหันมาทานผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น

7.ออกกำลังกายเป็นประจำ

ควรหมั่นออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ก็จะช่วยเผาผลาญไขมันทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น ที่สำคัญไม่ควรหยุดออกกำลังกายติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำให้เกิดความขี้เกียจและเลิกออกกำลังกายในที่สุด

8.เลิกสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อหยุดสูบบุหรี่และเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ไขมันชนิดดีในร่างกายเพิ่มมากขึ้น และไขมันในเลือดชนิดไม่ดี (LDL) ลดน้อยลงอีกด้วย

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ไขข้อข้องใจ คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม?

ไขข้อข้องใจ คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม? ดื่มแล้วจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับคุณแม่ตั้งครรภ์กันแน่ มาดูคำตอบไปพร้อมๆกันเลย

         ทุกท่านคงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา มีวิตามินและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อนำมาต้มเป็นน้ำขิงดื่มเป็นประจำ ก็จะช่วยให้รักษาอาการป่วยของร่างกายจากโรคต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ช่วยแก้อาการร้อนใน บรรเทาอาการหวัด ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ลดอาการท้องอืด จุกเสียด ช่วยบำรุงสายตาและช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายหลับสบาย และด้วยหลากหลายสรรพคุณที่กล่าวมานี้อาจมีหลายท่านที่อยากดื่มน้ำขิงในขณะตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าดื่มแล้วจะส่งผลดีหรือให้โทษกับลูกน้อยในครรภ์กันแน่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกัน

กับคำถามยอดฮิตที่ถามกันมาว่า คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม ?
          คำตอบคือสามารถดื่มได้ และยังเป็นผลดีกับคนที่ตั้งครรภ์ตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์อีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรดื่มน้ำขิงในปริมาณความเข้มข้นที่พอดี ไม่เข้มข้นเกินไป หรือมากเกินไป เพราะหากคนที่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำขิงที่มีความเข้มข้นมากเกินไปบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ อย่างเช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโอกาสที่จะแท้งบุตรได้ง่าย เป็นต้น

การดื่มน้ำขิงในระหว่างตั้งครรภ์มีประโยชน์อย่างไร ?

          หลานคนอาจยังไม่ทราบว่าน้ำขิงเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามิน A, B1, B2, B3, C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นการดื่มน้ำขิงจะช่วยทำให้ร่างกายคุณแม่และลูกน้อยได้รับประโยชน์ดังนี้

1. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

          เมื่อคนที่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำขิงในช่วงตั้งครรภ์ ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยให้ทารกได้รับปริมาณเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งยังช่วยปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้าลงอีกด้วย

2. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

          หากคนที่ตั้งครรภ์รู้สึกมีอาการเสียดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย มีกรดเกินเพราะระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานไม่สะดวก แนะนำให้ดื่มน้ำขิงในช่วงมื้อเย็นของวัน ก็จะช่วยขับไล่ลมออกจากกระเพาะ ช่วยลดปัญหาท้องอืดและช่วยให้ระบบการทำงานของลำไส้เป็นไปได้อย่างปกติ

3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

          ขิงเป็นสมุนไพรที่สามารถช่วยดูดซึมคอเลสเตอรอลออกจากลำไส้ และขจัดออกจากร่างกายโดยการขับถ่าย หากคนที่ตั้งครรภ์อยากลดระดับไขมันส่วนเกินในระหว่างตั้งครรภ์ การดื่มน้ำขิงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณคุมน้ำหนักได้อย่างดี

4. ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากอาการแพ้ท้อง

          ในช่วงที่มีอาการแพ้ท้อง อาจทำให้คุณมีอาการอ่อนเพลียจากการคลื่นไส้ได้ แต่เมื่อดื่มน้ำขิงเข้าไปก็จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายและสบายตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้กลิ่นและรสชาติของน้ำขิง ยังช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณในระหว่างที่ตั้งครรภ์ได้ดี

  1. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับคุณแม่และลูกน้อยหากคุณมีอาการป่วยในช่วงตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นหวัด ปวดศีรษะ ไอ มีเสมหะหรือเจ็บคอ การดื่มน้ำขิงจะช่วยรักษาอาหารป่วยได้ ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ด้วย6. ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นของคุณในขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำงานหนักขึ้น จนทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเท้าหรือปวดข้อตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายตามมาได้ ดังนั้นการดื่มน้ำขิงคั้นสด ๆ ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมาก จะช่วยบรรเทาอาการปวดตามร่างกายได้เป็นอย่างดี

    7. 
    ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

              ในระหว่างตั้งครรภ์คุณจำเป็นต้องได้รับสารอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การดื่มน้ำขิงจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น และช่วยทำให้ทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย8. ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง         ขิงมีวิตามินซีและธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับลูกน้อยในครรภ์ และที่สำคัญยังช่วยลดภาวะความเสี่ยงที่จะเกิดโรคพิการแต่กำเนิด

ข้อควรระวังของการดื่มน้ำขิงในระหว่างตั้งครรภ์

         ข้อควรระวังในการดื่มน้ำขิงที่คุณควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดดังนี้

          – คุณที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิงนะคะ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น

          – การดื่มน้ำขิงที่มีปริมาณเข้มข้นมากเกินไป อาจทำให้คุณอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดหรือมีโอากสที่จะแท้งบุตรได้ง่าย

          – เนื่องจากขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ด จึงไม่แนะนำให้คนที่มีอุณหภูมิความร้อนในร่างกายสูงอยู่แล้วดื่ม เพราะจะยิ่งเข้าไปเพิ่มความร้อนในร่างกายจนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้

          น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มบำรุงครรภ์ที่มีประโยชน์มากมายต่อคนที่คั้งครรภ์และลูกน้อยในครรภ์ หากดื่มอย่างระมัดระวัง วิตามินและสารอาหารสำคัญต่าง ๆ ก็จะช่วยบำรุงให้สุขภาพของคุณและลูกน้อยในครรภ์แข็งแรงได้อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก : momjunction.com, thehealthyhoneys.com

“6 เมนูน้ำขิง” พิชิตไข้ ห่างไกลเรื่องป่วย

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า “ขิง”  สมุนไพรมากสรรพคุณ ที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยานานาชนิด สามารถนำส่วนต่างๆมาใช้ในการรักษาโรค บรรเทาอาการต่างๆ มาใช้ในการรักษาโรค บรรเทาอาการต่างๆได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมีกลิ่นหอมพร้อมรสชาติเผ็ดร้อนถึงใจ ใช้ร่วมกับการปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู

วันนี้เรามี 6 เมนูเครื่องดื่มสำหรับคนที่รักสุขภาพ ที่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยได้เป็นอย่างดี

  1. เมนูบรรเทาไข้หวัด

            นำขิงสดมาคั้นให้ได้น้ำที่มีลักษณะข้น ปริมาณ ¼ ถ้วย นำน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำอุ่น ½ ถ้วย เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย เพื่อลดทอนความเผ็ดร้อนของขิงลง คนให้เข้ากัน จิบบ่อยๆๆข่จะค่อยๆทุเลาลง

  1. เมนูบรรเทาอาการเจ็บคอ

            นำขิงสดมาฝนให้ได้น้ำที่มีลักษณะข้น 1 ปริมาณช้อนชา บีบมะนาวและผสมเกลือลงไปเล็กน้อย รับประทานวันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ อันเนื่องมาจากเสมหะได้

  1. เมนูบรรเทาอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ

            นำขิงผงปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ชงในน้ำเดือด ปริมาณ 500 มิลลิลิตร หรือจะนำขิงแก่มาต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ สามารถผสมน้ำตาลได้เล็กน้อยตามความชอบ ค่อยๆจิบทีละนิด จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้

  1. เมนูบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน

            นำขิงแก่มาทุบให้แตก ต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ ค่อยๆจิบทีละนิด สูตรบรรเทาอาการคลื่นไส้นี้สามารถใช้ได้กับทั้งอาการอาเจียนทั่วไป อาการเมารถเมาเรือ อาการอาเจียนหลังผ่าตัดได้

  1. เมนูบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

            ฝานขิงสดเป็นชิ้นบางๆ ต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ สามารถใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปได้เล็กน้อยตามความชอบ ค่อยๆจิบจนหมดแก้ว จะสามารถช่วยบรรเทากาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดประจำเดือนทุเลาลง

  1. เมนูบรรเทากลิ่นปาก

            น้ำขิงมาคั้น ผสมกับน้ำอุ่นปริมาณ 1 แก้วกาแฟ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย นำมาบ้วนปาก สรรพคุณของขิงจะช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องปาก ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น

แต่ให้ง่ายกว่านั้นก็ใช้ขิงผงจินเจนสูตร 100% ไม่ผสมน้ำตาลแทนขิงสดได้ หรือจะเลือกดื่มรสชาติอื่นจินเจนก็มีให้เลือกดื่มได้หลายสูตรตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสูตรเข้มข้น สูตรยอดนิยม หรือสูตรที่ผสมน้ำผึ้ง สนใจเพิ่มเติมสามรถเข้าไปดูสินค้าได้ที่ https://shop.gingen.com นะคะ

10 พืชผักสมุนไพร สร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค

ก่อนจะไปดูว่า 10 พืชผักสมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค นั้นมีอะไรบ้าง  เราขอพามารู้จักคุณค่าของผักจากสีทั้ง 5 กลุ่มกันก่อนนะคะ

1. สีเขียว จะให้สารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน และช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนวัย นอกจากนี้การกินผักใบเขียวเป็นประจำจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีอีกด้วยค่ะ

2. สีเหลือง/ส้ม   ผักกลุ่มสีนี้ให้สารลูทีน และ เบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจดวงน้อยๆ ของเรา และรักษาดูแลหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปจนถึงบำรุงสายตา

3. สีแดง มีสารไลโคปีน และ เบตาไซซีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า โดยสารไลโคปีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และผักสีแดงยังอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงอีกด้วย

4. สีม่วง/น้ำเงิน   มีสารแอนโทไซยานิน กลุ่มนี้ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้สามารถยับยั้งเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

5. สีขาว/น้ำตาลอ่อน   ประกอบไปด้วยสารแซนโทน ช่วยลดอาการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีกรดไซแนปติก และ อัลลิซิน โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันว่า พืชผักสมุนไพรตัวท๊อปๆในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในแต่ละกลุ่มนั้นมีอะไรกันบ้าง

พลูคาว หรือผักคาวตอง ผักท้องถิ่นของประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยด้วย นิยมรับประทานใบสดแกล้มอาหาร โดยเฉพาะอาหารเหนือและอีสาน เช่น ลาบ ก้อยหรือแจ่ว ขณะเดียวกันก็นิยมใช้เป็นสมุนไพรทางยามาอย่างยาวนานแล้ว อาทิ รักษาการอักเสบต่างๆ  รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจต่างๆ   อีกทั้งในปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยถึงสรรพคุณของพลูคาวพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลิก ที่นอกจากมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้ว ยังพบฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส ทั้งทางตรง และทางอ้อม

มะกรูด สมุนไพรที่หลายบ้านนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารนั้น มีสรรพคุณทางยาในการต้านทานโรคมากมาย ทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง   และหากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดก็มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเครียด คลายความกังวล นอกจากนี้สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด จากนั้นแช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง

ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ มีสารอาหารที่ดีมากมายสำหรับร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแตสเซียม ทองแดง และวิตามินบี 6 ซึ่งขิงนั้นช่วยป้องกันอาการอักเสบในระบบร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ขิงยังช่วยแก้พิษ ลดบวม ขับลม ซึ่งมีงานวิจัยยุคปัจจุบันที่รองรับสรรพคุณว่าขิงสามารถลดอาการไข้หวัดได้อีกด้วย

ไพล สมุนไพรไทยอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และใบของไพลสามารถรักษาอาการหวัดให้ดีขึ้น ส่วนในร่างที่ปวดเมื่อยตามตัว  สามารถใช้ไพลเป็นสมุนไพรทางเลือกเพื่อลดอาการปวดได้ โดยไพลมักจะนำมารักษาในรูปแบบน้ำมันหอมระเหย เพื่อลดการอักเสบต่างๆ

ใบบัวบก   เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น นิยมรับประทานด้วยการนำมาต้มเป็นน้ำ มีฤทธิ์ลดการอักเสบในช่องปาก ลดการบวม แก้อาการช้ำใน และลดการอักเสบที่ผิวหนังได้ด้วย เพราะมีสาร asiaticoside ที่ช่วยสมานแผลผิวหนัง ทั้งยังมีสรรพคุณมากมาย ทั้งลดความดัน ลดความเครียด บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นอีกด้วย

ผักแพว ผักที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีกลิ่นหอมฉุน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยในการชะลอวัย อีกทั้งใบผักแพวยังช่วยขับเหงื่อ ทำให้เลือดลมดี และป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย หลายๆ คนนิยมใช้เป็นเครื่องเคียง ในแหนมเนือง

ฝักเพกา เป็นผักที่นิยมจิ้มกินกับน้ำพริก ลักษณะเป็นฝักสีเขียวยาวประมาณ 1 ศอก และในทางการแพทย์ระบุว่าฝักเพกามีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่ได้จากเปลือกต้นเพกา มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ การแพ้  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอการเสื่อมของเซล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อีกด้วย

ผักเชียงดา พืชผักที่ได้รับความนิยมในการใช้ลดน้ำตาลในเลือด เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ มีชื่อเรียกอย่างหลากหลาย อาทิ ผักเซี่ยงดา เซ่งดา เจียงดา ผักกูด เป็นต้น ส่วนภาคกลางจะเรียกกันว่า ผักจินดา โดยข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีวิตามินซีสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

ผักคะน้า เป็นผักใบเขียวที่มีวิตามินซีสูงถึง 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม หาซื้อง่าย แถมนำมาทำอาหารก็ไม่ยุ่งยาก ส่วนสรรพคุณ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ และเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ อีกทั้งวิตามินซีในผักคะน้ายังช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ด้วยการเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

มะรุม  พืชผักพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซี141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี โปรตีน หรือธาตุเหล็ก โดยประโยชน์ของมะรุม ก็มีทั้งรักษาอาการหวัด ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด บรรเทาอาการปวดตามข้อ  บำรุงร่างกาย สายตา ผิวพรรณ และต่อต้านมะเร็ง แต่ในผู้ป่วยโรคเลือด หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทานมะรุมมากเกินไป เพราะจะส่งให้โรครุนแรงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Goldenland.co.th

อ้างอิง

https://bit.ly/3aikWuY
https://amprohealth.com/herb/gotukola/

https://medthai.com/
https://siamrath.co.th/n/141001

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 โรคมะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีลักษณะเฉพาะและต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากวัยเยาว์ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ วัยผู้ใหญ่ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ดูธรรมดาอาจเป็นสัญญานของโรคร้ายบางอย่างได้หากไม่รู้เท่าทัน

สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงนั้น รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ชนิดของมะเร็งที่พบผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การรู้จักกับโรคมะเร็งเหล่านี้และรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคได้อย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมาก

มะเร็งเต้านม

เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยความเสี่ยงต่อโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานาน เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และการใช้ชีวิตในแบบที่ทำลายสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย หรือการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงควรสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคมะเร็งเต้านมและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคลำพบก้อนในเต้านมหรือใต้แขน บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม และมีอาการปวดบริเวณเต้านม

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเต้านม

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวนด์ทุก 1-2 ปี

มะเร็งปากมดลูก

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง โดยเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ได้แก่ ช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ รวมถึงการมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้น หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว บางรายมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นผิดปกติ เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกจึงหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกภายใน 3 ปีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปโดยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปีควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้หญิง โดยปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยถูกตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน มีประวัติเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูงและไม่ค่อยรับประทานผัก ผลไม้

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะต้นๆ มักไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งโรคพัฒนาขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกถ่ายไม่หมด ปวดมวนท้องไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปน ลักษณะอุจจาระเล็กเรียวยาวกว่าปกติ รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีภาวะโลหิตจาง

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือวิธีอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 50 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เริ่มมีอายุน้อยลง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองเร็วขึ้นคือเริ่มที่อายุ 40 ปี

มะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นมากในอันดับที่ 4 โดยไม่เพียงเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากคือกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตรวจพบโรคเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่มีอัตราการอยู่รอดห้าปีไม่ถึงร้อยละ 5

เราทราบกันดีว่าสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สัมผัสควันบุหรี่ (second-hand smoking) และผู้ที่เคยรับสารพิษจากการสูดดมเมื่ออายุน้อยๆ ซึ่งอาการของโรคจะปรากฎเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะที่ 3-4 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมะเร็งเกิดที่หลอดลมก็จะมีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอมีเลือดปน

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปอด

หากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เลิกสูบมาไม่เกิน 15 ปี มีบุคคลในครอบครัวสูบบุหรี่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับมลภาวะและสารพิษต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dose computerized tomography หรือ low-dose CT) ซึ่งใช้ปริมาณรังสีน้อยแต่ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงเช่นเดียวกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจจึงมีความปลอดภัยและแม่นยำ

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย โดยสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นผู้หญิงที่มีบุตรน้อยหรือไม่มีบุตร มีประจำเดือนต่อเนื่องแม้จะถึงวัยที่ควรหมดประจำเดือนแล้ว มีภาวะฮอร์โมนผันผวน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้มากขึ้น

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติจึงจำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์หรือใช้วิธีเก็บเซลล์จากโพรงมดลูกไปตรวจ หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางปากมดลูกเพื่อตรวจโพรงมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือมะเร็งหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com