7 ประโยชน์ของการดื่มชา ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!

เมื่อพูดถึงเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หนึ่งในชื่อที่ทุกคนต้องรู้จักนั่นก็คือ “ชา”

วันนี้จินเจนเลยขออาสาพามาดูกันว่าประโยชน์และสรรพคุณของชานั้นจะมีดีมากแค่ไหน ซึ่งบางข้อหลายคนก็อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้

ก่อนอื่นมาดูประเภทของชากันก่อน ปัจจุบัน “ชา” มีอยู่ 2 ประเภท คือ

1. ใบชาแท้ ๆ เก็บมาจากยอดอ่อนของต้นชา สีและรสชาติจะแตกต่างกันออกไปตามการหมัก โดย ชาเขียวและชาขาวจะเป็นชาทีไม่ผ่านการหมักใด ๆ เลย ส่วนชาอู่หลง ได้ผ่านการหมักมาแล้วบาง ส่วน และชาดําคือชาที่ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์แบบ

2. ชาสมุนไพร มักจะผสมจากผลไม้ สมุนไพรอืน ๆ เสียมากกว่า เช่น ชาคาโมมายล์, ชาเปปเปอร์มินต์, ชาขิง คุณประโยชน์จากชาสมุนไพรจึงอาจแตกต่างกันไปตามส่วนผสมและสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด

อย่างไรก็ตามประโยชน์หลัก ๆ ของการดื่มชานั้น สามารถสรุปรวมได้ ดังนี้

1. ช่วยให้หัวใจแข็งแรง มีงานวิจัย ในเมืองนอกหลาย ๆ ฉบับยืนยันว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจํา (วันละประมาณ 3 แก้ว) มี โอกาสเจ็บป่วยจากโรคหัวใจลดลงถึง 20% และลดโอกาสการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง 35% เพราะว่าเมื่อดื่มชาเข้าไปแล้ว ระบบหมุนเวียนเลือดจะดีขึ้นนั่นเอง

2. แก่ช้า หน้าเด้ง เพราะสารสกัดในชาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเสื่อมโทรมช้าลง  และยังช่วยปกป้องเราจากมลภาวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย

3. บรรเทาปัญหาท้องผูก ชาเป็นยาระบายอ่อน ๆ ใครที่ท้องผูกบ่อย ๆ ลองดื่มชาเป็นตัวช่วยเสริมให้เกิดการขับถ่ายได้ (หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม) รวมไปถึงช่วยระบบย่อยอาหารได้เช่นกัน

4. ชาช่วยรักษากระดูก มีงานวิจัยหนึ่งบอกว่า หากดื่มชาสมุนไพรมะรุมเป็นประจําจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง เพราะในใบ มะรุมมีแคลเซียมสูงกว่านม แถมยังมีวิตามินเค และธาตุเหล็กด้วย

5. ดื่มชาช่วยให้สดชื่น โดยเฉพาะหลังออกกําลังกาย และที่สําคัญคือ ชาช่วยเพิ่มพลังให้ร่างกายเราได้เหมือนดื่มกาแฟ แต่มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่า จึงสามารถดื่มได้โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะ นอนไม่หลับ แถมชาบางชนิดยังช่วยให้เราหลับง่าย ผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม เช่น ชาสมุนไพร จําพวกชาลาเวนเดอร์, ชาคาโมมายล์ เป็นต้น

6. สุขภาพฟันแข็งแรง  เพราะในใบชาเต็มไปด้วยฟลูออไรด์ ทําให้เมื่อเราดื่มเข้าไปจะช่วยปกป้องไม่ให้ฟันผุได้ และยังต่อต้านแบคทีเรียในช่องปากอีกด้วย 

7. ช่วยลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์ มีงานวิจัยสนับสนุนว่า การดื่มชาบ่อย ๆ โดยเฉพาะชาเขียว มีส่วนช่วยเรื่องความจําใน สมองของเราได้เป็นอย่างดี เพราะชาจะช่วยให้สมองแต่ละส่วนทํางานเชื่อมต่อกันได้ดี จึงลดโอกาส เกิดโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้ด้วย

อย่างไรก็ตามการดื่มชาก็มีข้อควรระวังเช่นกัน สําหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต, กระเพาะอาหาร, ความดันโลหิตสูง, สตรีมีครรภ์, ผู้ปวยเบาหวาน และผู้ที่มีภาวะเสี่ยงอื่น ๆ ต้องศึกษาอย่างละเอียดหรือปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มชาแต่ละชนิดนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: healthland.time.com และ medthai.com

เคล็ดลับดูแลสุขภาพ ในช่วง “ปลายฝนต้นหนาว”

ช่วงของการปรับเปลี่ยนฤดูกาลเข้าสู่ฤดูหนาว  หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างเย็นลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลภายในร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

ดังนั้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เราจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรง นอกจากการดูแลสุขภาพด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว

วันนี้จะมาแนะนำการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรใกล้ตัว “น้ำขิง” สมุนไพรไทยรสเผ็ดร้อนสำหรับปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นของร่างกาย บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก และบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออีกด้วย

การทำ น้ำสมุนไพร เป็นหนึ่งในรูปแบบยอดนิยมของการนำพืชสมุนไพรใกล้ๆ ตัวที่มีหลากหลายสรรพคุณเพื่อการบริโภคโดยสะดวกง่ายดาย โดยเฉพาะน้ำสมุนไพรที่นำมาปรุงรสให้หวาน เพื่อให้รับประทานง่ายขึ้น อีกทั้งความหวานก็ยังเป็นการเพิ่มสรรพคุณบำรุงร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ น้ำสมุนไพรอาจใส่เครื่องเทศ เช่น กระวาน กานพลู พริกไทย ลงไปด้วย เพื่อช่วยแต่งกลิ่นปรุง

อีกทั้งยังมีการประยุกต์เอาสมุนไพรและผลไม้ เช่น สับปะรด มะนาวทั้งแบบสดและแห้งมาคั้น หรือต้มกับน้ำผสมน้ำตาลหรือเติมน้ำเชื่อม เป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย ประโยชน์ของน้ำสมุนไพรสามารถกินได้ทั้งในรูปของยาและเครื่องดื่ม

ตัวอย่างสรรพคุณของสมุนไพร

พริกไทยดำ : รสเผ็ดร้อน บำรุงไฟธาตุ ขับลม แก้หอบหืด ปวดท้อง

กานพลู : รสเผ็ดร้อน บำรุงโลหิต บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ทำให้อาหารรสชาติดีขึ้น

ยี่หร่า : มีพลังร้อน บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ ช่วยย่อยอาหาร บำรุง ร่างกาย ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น

กระวาน : รสเผ็ดร้อน แก้ไอ หอบหืด ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร  ช่วยขับลม และแก้แน่นจุกเสียด

ชะเอม : มีพลังเย็น รสหวาน ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงผิวพรรณ แก้กระหาย แก้เสมหะ แก้อาเจียน เป็นยาระบายอ่อน

และหนึ่งในเมนูน้ำสมุนไพรไทยที่แนะนำสำหรับช่วงปลายฝนต้นหนาว เหมาะกับการมาเยี่ยมเยือนของไข้หวัด

น้ำขิง สมุนไพรรสเผ็ดร้อนของ ขิง มาจากน้ำมันหอมระเหยที่เรียกกันว่า Gingerols สรรพคุณถึงฤทธิ์เผ็ดร้อนของพืชหัว ชนิดนี้ว่าจะช่วยย่อย อาหาร แก้อาการท้องอืดเฟ้อ รวมทั้งยังแก้คลื่นไส้อาเจียน และแก้อาการแพ้ท้อง รวมทั้งช่วยขยายช่องทางเดินของเลือดลมทั่วร่างกาย รับประทานแล้วจะช่วยให้ความอบอุ่นจากภายใน รวมทั้งช่วยขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ขิงช่วยลดอาการอักเสบ-ปวดเมื่อยตามข้อยามลมหนาวมาเยือนด้วย

ที่มา : kroobannok.com

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

อาการ “ชา” หรือจะเป็นสัญญาณบอกโรค

อาการชาปลายนิ้ว หรือรู้สึกมีอาการเหน็บชาตามปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าเหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มแทง อาจเป็นปัญหาที่ใครหลายคนกำลังประสบอยู่ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบประสาท หากคุณมีอาการชาบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น หรือมีอาการชาไม่ทราบสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

อาการชาเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาท   ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อย คือ บริเวณมือและเท้า เช่น มือชา เท้าชา ชาปลายนิ้วมือ โดยลักษณะของอาการชาอาจเป็นได้ทั้งสูญเสียความรู้สึก รู้สึกแบบผิวหนังหนาๆ เป็นปื้นๆ 

โดยลักษณะของอาการชาเหล่านี้ อาจเป็นอาการของโรคหรือเป็นสัญญาณแรกของโรค เช่น อาจเกิดจากการนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน ระดับแร่ธาตุและวิตามินในร่างกายผิดปกติ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีบำบัด เบาหวาน ปวดศีรษะ ไมเกรน ลมชัก หลอดเลือดสมอง เป็นต้น

อาการชาแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์?

โดยทั่วไป อาการชาที่เกิดร่วมกับอาการปวด อาจจะก่อให้เกิดความรำคาญหรือรบกวนชีวิตประจำตัหากคุณมีอาการชาบ่อยๆ ชาไม่ทราบสาเหตุ อย่านิ่งนอนใจ ควรมาปรึกษาพบแพทย์เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติของระบบประสาท

  • ชาตามมือและนิ้วมือมักมีอาการร่วมกับปวดแสบปวดร้อนบริเวณกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกาต์
  • ชานิ้วก้อย นิ้วนาง และ ขอบมือด้านเดียว แต่ไม่เลยเกินข้อมือ มักเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับตรงข้อศอก แนะนำให้เลี่ยงท่าทางที่ทำให้ชา แนะนำให้ลดงานที่ใช้มือข้างนั้นๆลง เลี่ยงท่าทางที่ทำแล้วทำให้มือชา เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ                                ถ้ารู้สึกชาเลยข้อมือขึ้นมาจนถึงข้อศอก มักจะมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณกระดูกไหปลาร้า
  • ชาที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วโป้งอาจเป็นอาการเกี่ยวกับกระดูกคอทับเส้นประสาท
  • ชาบริเวณปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าอาจมาจากภาวะน้ำตาลสูง ส่งผลให้เส้นประสาทส่วนปลายที่ควบคุมการทำงานของมือ และเท้าเสียหาย
  • ชาตั้งแต่แขนไปจนถึงนิ้วมือมักเกิดจากกระดูกต้นคอเสื่อม และมีผลต่อการกดทับเส้นประสาท
  • ชาตั้งแต่สะโพกลงไปจนถึงเท้าอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
  • ชาปลายเท้าและปลายมือเข้าหาลำตัวเกิดจากการขาดสารอาหารสำคัญบางชนิด ได้แก่ วิตามิน B1, วิตามิน B6 และ วิตามิน B12  นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดขึ้นเนื่องจากการเป็นโรคบางชนิดได้ด้วย เช่น โรคไต โรคมะเร็ง เป็นต้น

ที่มา : sikarin.com

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สุดยอดอาหาร แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ แต่ช่วงอายุที่พบบ่อยมาก คือ 30-40 ปีขึ้นไป เนื่องจากกลุ่มคนในวัยดังกล่าวมีการทำงานของระบบการย่อยอาหารที่เสื่อมถอยลงตามวัย สาเหตุหลักๆ มาจากในกระเพาะอาหารของเรามีแก๊สอยู่เยอะเกินไป ลักษณะของอาการจะมีอาการจุก เสียด คล้ายมีลม บางครั้งมีอาการแสบร้อนที่อกเหนือลิ้นปี่อีกด้วย


หนึ่งในวิธีบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ นั่นก็คือการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อบรรเทาอาการ วันนี้จินเจนเลยจะมาแนะนำอาหาร 5 อย่างที่รับรองว่าช่วยได้แน่นอน แถมยังหาทานได้ง่ายอีกด้วยมาฝากกัน

1.ใบกระเพรา

สมุนไพรที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะอยู่ในอาหารยอดนิยมที่หลายๆ คนชอบทานกันอย่างผัดกระเพรา เพียงนำใบกระเพราสด 1 กำมือต้มกับน้ำเดือด กรองเอาแต่น้ำ หรือใช้ใบกระเพราตากแห้งมาชงกับน้ำดื่ม ก็ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดอย่างได้ผลเช่นกัน

2.น้ำมะนาว

เพื่อนๆ รู้มั้ยครับว่ากรดในมะนาว สามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานตามปกติได้ ลองบีบมะนาวใส่น้ำอุ่นเพื่อจิบเบาๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้ด้วยนะ

3.มะละกอสุก

เนื่องจากในมะละกอสุกนั้นมีน้ำย่อยธรรมชาติที่ช่วยย่อยอาหารได้ หากลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่าเมื่อทานมะละกอสุกเข้าไปไม่นาน จะช่วยลดอาการแน่นท้อง และท้องอืดได้อีกด้วย

4.สับปะรด

สับปะรดมีคุณสมบัติช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีนให้มีขนาดเล็กลง และชำระล้างไขมันที่เกาะตามอวัยวะต่างๆ หากทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์มาก ลองทานสับปะรดเข้าไป ก็ช่วยย่อยและแก้ท้องอืดได้ดีทีเดียว

5.ขิง

การที่ขิงมีฤทธิ์ร้อน นอกจากขับลมแล้วยังช่วยย่อยอาหารภายในกระเพาะ จึงทำช่วยบรรเทาอาการแน่นท้องได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ที่มา: sanook.com


#ท้องอืด #ท้องเฟ้อ
#จินเจนห่วงใยกันและกัน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

“นมผสมขิง” มีคุณค่ามากกว่าที่คิด ดีต่อสุขภาพในระยะยาว

หากพูดถึง “นม” หรือ “ขิง” หลายคนก็คงรู้จักหรือเคยดื่มกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าเราสามารถดื่ม “นมผสมขิง” ได้เลยในคราวเดียวกัน ซึ่งประโยชน์และคุณค่าที่ได้ก็จะได้คูณสองเช่นกัน ตามมาดูกันเลยว่าการดื่ม นมผสมขิง นั้นจะดีต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้าง

1. ป้องกันโรคกระดูกพรุน
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในนมนั้นมีปริมาณแคลเซี่ยมสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดี โดยเฉพาะกับผู้สุงอายุหรือคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องการปริมาณแคลเซียมในปริมาณสูง

2. แก้อาการนอนไม่หลับ
สารทริปโตเฟน (Tryptophan) ในนมจะช่วยลดความตื่นเด้นและช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากดื่มพร้อมกันกับน้ำขิงแล้วนั้น ก็จะยิ่งทำให้อุ่นท้อง นอนหลับได้สบายมากยิ่งขึ้น

3. ช่วยลดความดันโลหิตสูง
มาถึงประโยชน์ของขิงข้อหนึ่งที่สำคัญเลย นั่นก็คือช่วยลดความดันโลหิต รวมถึงยังช่วยปรับระบบหมุนเวียนเลือดให้อยู่ในภาวะสมดุลอีกด้วย

4. ช่วยลดอาการท้องอืด
สำหรับบางคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ดื่มนมแล้วเกิดอาการท้องอืด จุกเสียดแน่ท้องนั้น เนื่องจากร่างกายย่อยน้ำตาลแลคโตสในน้อยได้น้อยลงทำให้เกิดอาการดังกล่าว ในขณะที่สรรพคุณหนึ่งของขิงนั้นคือช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ดี ดังนั้นหากเราดื่ม นมผสมขิง ในคราวเดียวกัน ผู้ที่เคยมีอาการเหล่านี้ก็จะพบปัญหาน้อยลง หรือสามารถกลับมาดื่มนมได้ปกติเหมือนเดิม

หากใครที่รู้สึกว่าการดื่มนมผสมขิงนั้นก็ดี มีประโยชน์ แต่ยังรู้สึกยุ่งยากในการทำ วันน้ีจินเจนเลยขอเสนอ “จินเจน ขิงผสมนม” ในรูปแบบซอง Twin Pack สามารถชงได้พร้อมกันในแก้วเดียว เพียงเติมน้ำร้อน ฉิงซอง เทผงนมและผงขิง คนให้เข้ากัน ง่ายๆเพียงเท่านี้ ก็ได้เครื่องดื่มขิงผสมนม ที่คงคุณประโยชน์ของนมสดแท้และขิงแท้เอาไว้อย่างครบถ้วน


สนใจผลิตภัณฑ์ สั่งซื้อได้ที่: shop.gingen.com

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

อาหารแนะนำช่วงมีประจำเดือน!

ช่วงใกล้จะมีประจำเดือนและในระหว่างที่ประจำเดือนมา จะเป็นภาวะที่ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล สาว ๆ หลายคนจึงมักจะเจอปัญหาต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ เช่น อาการปวดท้อง หงุดหงิด หรือเป็นสิว เป็นต้น

อาการต่าง ๆ เหล่านั้น นอกจากกินยาแล้วก็ยังสามารถบรรเทาได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารบางประเภทได้ด้วย เช่น

1. ขิง หรือน้ำขิง จัดเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก ช่วยในเรื่องลดอาการปวดประจำเดือนได้ดี เพราะมีโพแทสเซียมสูง บรรเทาอาการปวดเกร็วท้องน้อย

2. ถั่วและมันฝรั่ง ช่วยลดความหงุดหงิด

3. แซลมอน อะโวคาโด และเมล็ดฟักทอง เป็นแหล่งธรรมชาติของวิตามินดี อุดมไปด้วยกรด EPA และ DHA ที่ช่วยลดอาการบวมน้ำได้

4. แตงกวา ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด

5. ผลไม้สีส้ม ช่วยลดความันให้ผิว ลดโอกาสการเกิดสิวได้

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

วิธีแก้อาการปวดหัว แบบไม่ต้องพึ่งยา

“ร้อนจนปวดหัว!” คำพูดหรืออาการที่เรามักได้ยินเป็นประจำในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ซึ่งอาการที่สัมพันธ์กับอากาศร้อน และพบเป็นประจำก็คือ อาการปวดศีรษะไมเกรน หรือปวดศีรษะข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง มีอาการปวดตุ๊บ ๆ บริเวณขมับหรือกระบอกตา ผู้ป่วยบางรายอาจปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกาย บางรายมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อเจอกับเสียงดังหรือแสงจ้า

นอกเหนือจากนี้แล้ว สาเหตุของอาการที่พบบ่อยอีกประการคือ อยู่ในสภาพที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น จากที่เดินตากแอร์อยู่ในห้างสรรพสินค้า จู่ๆ ก็เดินออกไปบริเวณลานจอดรถร้อนๆ ส่งผลให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จนเกิดอาการไมเกรนขึ้น

อาการปวดหัวลักษณะนี้ สามารถแก้หรือบรรเทาได้โดยยังไม่ต้องไปหายามารับประทาน เพียงลองทำแบบนี้ดู!

1. หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด หรือบริเวณที่มีแสงจ้ามาก หรือหลบแดดมาพักก่อนเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวในเบื้องต้น

2. เติมน้ำให้ร่างกาย เพราะการขาดน้ำคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว

3. สูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหย เลือกชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวโดยเฉพาะ ช่วยลดปวดได้ชะงัด

4. นวดกดจุดและยืดกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ซึ่งมักสัมพันธ์กับอาการปวดหัว

5. ประคบร้อนบริเวณหลังคอด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ประมาณ 10-15 นาที เพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

6. ดื่มหรือจิบน้ำขิง เพราะหนึ่งในสรรพคุณของขิงนั้นจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ ทั้งชนิดปวดแบบสองข้าง และข้างเดียว เนื่องจากสารเคมีที่อยู่ในขิงจะสามารถปรับสารไอโคซานอยด์ ทำให้อาการปวดหัวบรรเทาลงได้

น้ำขิง นอกจากจะช่วยเรื่องบรรเทาอาการปวดหัวแล้ว การดื่มน้ำขิงเป็นประจำ ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อีกด้วย

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

PLANT BASED FOOD อาหารถูกใจผู้สูงวัย

Plant Based Food ก็คือ อาหารทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภค หรือผู้ที่ต้องการงด เลี่ยง ลดการทานเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และผู้ที่ต้องการทานอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าจริงๆ แล้ว มนุษย์ มีระบบย่อยและดูดซึมอาหารที่เหมาะกับการกินพืชผักมากกว่าการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งอาหาร Plant Based Food ส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ที่ทำมาจากพืช ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ เห็ด เมล็ดพืช ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เป็นส่วนประกอบหลักอย่างน้อย 95% และที่สำคัญคือต้องไม่มีเนื้อสัตว์ผสม (ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีผสมอยู่บ้างในปริมาณที่น้อยมาก) เน้นการได้โปรตีนจากพืช นำมาแต่งสี และกลิ่น เพื่อให้มีรสชาติ และรสสัมผัสที่มีความคล้ายกับเนื้อสัตว์มากที่สุด


สารอาหารที่ได้จาก Plant Based Food

โปรตีน : อย่างที่บอกว่า Plant Based Food เป็นอาหารที่ทำมาจากพืชตระกูลถั่ว เห็ด และธัญพืชต่างๆ ซึ่งในถั่วเหลืองและเห็ด ก็เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชชั้นดี

คาร์โบไฮเดรต : ในส่วนของคาร์โบไฮเดรต ก็จะอยู่ในข้าว แป้ง และพืชตระกูลหัว อย่างเผือก มัน และถั่ว

วิตามิน และ แร่ธาตุ : สารอาหารส่วนนี้จะมีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ แทบทุกชนิดอยู่แล้ว

ไขมัน : ไขมันก็จะได้มาจาก จากน้ำมันพืช ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันธัญพืชชนิดต่างๆ ซึ่งไขมันเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อาหาร Plant Based มีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม และชุ่มฉ่ำคล้ายเนื้อสัตว์


Plant Based Food ดีต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

Plant Based Food ไม่ได้ จำกัด อยู่แค่ในกลุ่มมังสวิรัติหรือคนที่กินเจไม่รับประทานเนื้อสัตว์เพียงเท่านั้น แต่เป็นอาหารสำหรับคนทุกกลุ่มเช่นคนที่ต้องการดูแลสุขภาพชอบอาหารคลีนกลุ่มที่เคร่งในการออกกำลังกายควบคุมอาหารรวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่เพิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มที่ควรให้ความสำคัญในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารอันเกิดจากการความเสื่อมสภาพของร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นการสะสมแคลเซียมที่กระดูกและฟันลดลงส่งผลให้ฟันจะผุกร่อนฟันสึกได้ง่าย การรับประทานเนื้อสัตว์อาจทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวได้ละเอียดส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารทำงานได้น้อยลงและเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอีกด้วย


สำหรับใครที่อยากเริ่มทาน Plant Based Food ก็สามารถเริ่มได้เลย ทานได้ทุกเพศทุกวัย อาจจะเริ่มจากอาทิตย์ละ 1 วัน แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องอย่าลืมเรื่องการล้างทำความสะอาดของพืชผักที่จะทำมาใช้ทาน เพราะอาจจะมีสารพิษปนเปื้อนได้ และอย่าลืมรักษาสมดุลของสารอาหารในร่างกายด้วยนะคะ


น้ำขิงจินเจนช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เป็นประจำ ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อีกด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ฟ้าทะลายโจรกินตอนมีไข้ แล้วดื่มน้ำขิงตอนไหนเพื่อให้ร่างกายสมดุล?

ตามตำราเภสัชกรรมไทย ของมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทย ได้อธิบายในเรื่อง “ยารสประธาน” เอาไว้ว่า หมายถึงรสของยาที่ปรุงหรือผสมเป็นตำรับแล้วจะเหลือรสของตัวยาอยู่เพียง 3รสเท่านั้นคือยารสเย็น, ยารสร้อน, และยารสสุขุม

ซึ่งหนึ่งในยารสเย็นที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิตนั่นก็คือ “ฟ้าทะลายโจร” ที่จัดเป็นสมุนไพรที่มีรสขมและฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณแก้ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ได้ รวมถึงระงับอาการอักเสบ ไอ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ และขับเสมหะได้ด้วย อีกทั้งยังแก้การติดเชื้อพวกทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย บิด และแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ

ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขยืนยันแล้วว่า ฟ้าทะลายโจรมีสาร “แอนโดร กราโฟไลด์” ที่สามารถต้านโควิด-19 ไม่ให้เข้าเซลล์ และต้านการแตกตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในร่างกายได้

การรับประทานฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีรสเย็น แนะนำให้กินในช่วงเวลามีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อตัว และกินให้มากพอและให้เร็วที่สุดเพื่อสยบไข้ที่เกิดนั้น และยังไม่ควรกินยารสร้อนใด ๆ ในช่วงนี้ แต่แนะนำให้กินเมื่ออาการไข้ อาการครั่นเนื้อตัวหรืออาการปวดเมื่อยเนื้อตัวหายไปแล้ว โดยการกินยารสร้อนในช่วงทั้งก่อนจะมีไข้ หรือหลังมีไข้ นั้นก็เพื่อสร้างสมดุล บรรเทาผลข้างเคียงในการกินฟ้าทะลายโจรจำนวนมาก รวมถึงช่วยบำรุง และให้กำลังควบคู่กันต่อไปด้วย

และหนึ่งใน “ยารสร้อน” ที่ตำราเภสัชกรรมไทยแนะนำนั่นก็คือ “ขิง” ซึ่งเป็นสมุนไพรรสเผ็ด ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณขับความเย็นในร่างกายส่วนกลาง แก้คลื่นไส้ แก้ไอ ทั้งยังเป็นยาที่สาคัญในการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้อีกด้วย เหมาะกับกลุ่มคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ร่างกายไม่ทนต่อความเย็น กลัวหนาวกลัวลม มือเท้าเย็น ไม่ค่อยอยากอาหาร อุจจาระไม่เป็นก้อน หรือคนที่ต้องการบำรุงร่างกาย

นอกจากนั้น ขิงยังออกฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านไวรัส ลดการอักเสบ ลดเสมหะ แก้คัดจมูก เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและขับเหงื่ออีกด้วย ทำให้ “ขิง” มีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องดื่มและอาหารสำหรับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้อีกด้วย

ขอสรุปว่า “น้ำขิง” ซึ่งเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน สามารถกินตลอด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว เพื่อบำรุงและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ และหากต้องการกินร่วมกันกับสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น “ฟ้าทะลายโจร” ก็แนะนำให้ดื่มก่อนมีไข้ หยุดดื่มเมื่อมีไข้ และดื่มตามทันทีหลังไข้ลดแล้วเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง


ที่มา: อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

https://mgronline.com/daily/detail/9640000076901

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

เทคนิคดูดกระตุ้นเพิ่มน้ำนมแม่

เทคนิคการดูดกระตุ้นเพิ่มน้ำนมแม่ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้!

1. ดูดเร็ว

หมายถึงหลังคลอดยิ่งให้ลูกกินนมแม่เร็วเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น ทันทีที่ลูกคลอดออกมาโรงพยาบาลหลายแห่งจะรีบนำลูกมาให้เริ่มดูดนมแม่ตั้งแต่บนเตียงคลอดเลย การทำเช่นนั้น แม้ลูกยังไม่ได้รับน้ำนม แต่จุดสำคัญคือเป็นการช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วขึ้น และเป็นการให้ลูกน้อยซึ่งเพิ่งเกิดมาได้นอนซบอกอุ่นของคุณแม่ด้วย

2. ดูดบ่อย

คุณแม่มือใหม่ควรให้ลูกกินนมแม่บ่อยตามที่ลูกต้องการ หิวเมื่อไรก็ให้ดูด เพราะนมแม่นั้นย่อยง่าย ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมบ่อยๆ อาจจะประมาณทุก 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมมา หลังจากนี้ก็ให้ลูกดูดตามต้องการ โดยไม่ต้องตั้งเวลา แต่ถ้ารู้สึกคัดเต้านม ต้องให้ลูกดูดนมออกทันที การให้ลูกกินนมแม่บ่อยจะช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้า และให้เต้านมสร้างน้ำนมใหม่เรื่อยๆ ไม่เช่นนั้น คุณแม่จะเจ็บเพราะคัดเต้านม และทำให้เต้านมสร้างน้ำนมได้น้อยลงด้วย

       วิธีที่จะทราบว่าลูกน้อยหิวนมแม่แล้ว ก็คือสังเกตอากัปกิริยาของลูก เมื่อไรที่ลูกเริ่มส่ายหน้าหาหัวนม เอามือถูที่ปาก หรือทำท่าดูด ฯลฯ แสดงว่า ลูกต้องการดูดนมแล้ว


3. ดูดถูกวิธี

ท่าดูดนมที่ถูกต้องสำหรับลูกมีดังนี้ค่ะ

  • ปากลูกต้องเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก
  • ลูกดูดแรงโดยใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะ
  • ถ้าลูกไม่ค่อยดูดหรือดูดช้าลง ให้บีบเต้านมช่วยเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมเข้าปากลูก


4. ดูดเกลี้ยงเต้า

นอกจากดูดถูกวิธีแล้ว การให้ลูกกินนมแม่แต่ละครั้งต้องนานพอ เพื่อให้ลูกดูดนมได้จนเกลี้ยงเต้า เต้านมจะได้ผลิตน้ำนมใหม่อย่างต่อเนื่อง 
       วิธีสังเกตเพื่อให้คุณแม่แน่ใจว่าลูกดูดนมเกลี้ยงเต้าก็คือ หลังให้ลูกดูดนมเสร็จแล้ว เต้านมนิ่มลงทั้งเต้า อาการเจ็บตึงที่เต้านมหรือที่เรียกว่านมคัดก็หายไปด้วย ถ้ายังไม่แน่ใจให้ลองบีบเต้านมดู  น้ำนมจะไม่พุ่งแต่ออกมาเพียง 1-2 หยดเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก theasianparent.com

นอกจากนี้ คุณแม่ยังสามารถกระตุ้นน้ำนมด้วยการรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มหรือเสริมสร้างน้ำนมได้ เช่น การดื่มน้ำขิง เนื่องจากฤทธิ์ร้อนของขิง จะช่วยทำให้น้ำนมไหลได้ดียิ่งขึ้น

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
ช้อปจินเจนออนไลน์ได้ที่: shop.gingen.com