ไขข้อข้องใจ คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม?

ไขข้อข้องใจ คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม? ดื่มแล้วจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับคุณแม่ตั้งครรภ์กันแน่ มาดูคำตอบไปพร้อมๆกันเลย

         ทุกท่านคงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา มีวิตามินและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อนำมาต้มเป็นน้ำขิงดื่มเป็นประจำ ก็จะช่วยให้รักษาอาการป่วยของร่างกายจากโรคต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ช่วยแก้อาการร้อนใน บรรเทาอาการหวัด ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ลดอาการท้องอืด จุกเสียด ช่วยบำรุงสายตาและช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายหลับสบาย และด้วยหลากหลายสรรพคุณที่กล่าวมานี้อาจมีหลายท่านที่อยากดื่มน้ำขิงในขณะตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าดื่มแล้วจะส่งผลดีหรือให้โทษกับลูกน้อยในครรภ์กันแน่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกัน

กับคำถามยอดฮิตที่ถามกันมาว่า คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม ?
          คำตอบคือสามารถดื่มได้ และยังเป็นผลดีกับคนที่ตั้งครรภ์ตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์อีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรดื่มน้ำขิงในปริมาณความเข้มข้นที่พอดี ไม่เข้มข้นเกินไป หรือมากเกินไป เพราะหากคนที่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำขิงที่มีความเข้มข้นมากเกินไปบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ อย่างเช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโอกาสที่จะแท้งบุตรได้ง่าย เป็นต้น

การดื่มน้ำขิงในระหว่างตั้งครรภ์มีประโยชน์อย่างไร ?

          หลานคนอาจยังไม่ทราบว่าน้ำขิงเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามิน A, B1, B2, B3, C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นการดื่มน้ำขิงจะช่วยทำให้ร่างกายคุณแม่และลูกน้อยได้รับประโยชน์ดังนี้

1. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

          เมื่อคนที่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำขิงในช่วงตั้งครรภ์ ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยให้ทารกได้รับปริมาณเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งยังช่วยปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้าลงอีกด้วย

2. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

          หากคนที่ตั้งครรภ์รู้สึกมีอาการเสียดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย มีกรดเกินเพราะระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานไม่สะดวก แนะนำให้ดื่มน้ำขิงในช่วงมื้อเย็นของวัน ก็จะช่วยขับไล่ลมออกจากกระเพาะ ช่วยลดปัญหาท้องอืดและช่วยให้ระบบการทำงานของลำไส้เป็นไปได้อย่างปกติ

3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

          ขิงเป็นสมุนไพรที่สามารถช่วยดูดซึมคอเลสเตอรอลออกจากลำไส้ และขจัดออกจากร่างกายโดยการขับถ่าย หากคนที่ตั้งครรภ์อยากลดระดับไขมันส่วนเกินในระหว่างตั้งครรภ์ การดื่มน้ำขิงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณคุมน้ำหนักได้อย่างดี

4. ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากอาการแพ้ท้อง

          ในช่วงที่มีอาการแพ้ท้อง อาจทำให้คุณมีอาการอ่อนเพลียจากการคลื่นไส้ได้ แต่เมื่อดื่มน้ำขิงเข้าไปก็จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายและสบายตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้กลิ่นและรสชาติของน้ำขิง ยังช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณในระหว่างที่ตั้งครรภ์ได้ดี

  1. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับคุณแม่และลูกน้อยหากคุณมีอาการป่วยในช่วงตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นหวัด ปวดศีรษะ ไอ มีเสมหะหรือเจ็บคอ การดื่มน้ำขิงจะช่วยรักษาอาหารป่วยได้ ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ด้วย6. ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นของคุณในขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำงานหนักขึ้น จนทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเท้าหรือปวดข้อตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายตามมาได้ ดังนั้นการดื่มน้ำขิงคั้นสด ๆ ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมาก จะช่วยบรรเทาอาการปวดตามร่างกายได้เป็นอย่างดี

    7. 
    ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

              ในระหว่างตั้งครรภ์คุณจำเป็นต้องได้รับสารอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การดื่มน้ำขิงจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น และช่วยทำให้ทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย8. ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง         ขิงมีวิตามินซีและธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับลูกน้อยในครรภ์ และที่สำคัญยังช่วยลดภาวะความเสี่ยงที่จะเกิดโรคพิการแต่กำเนิด

ข้อควรระวังของการดื่มน้ำขิงในระหว่างตั้งครรภ์

         ข้อควรระวังในการดื่มน้ำขิงที่คุณควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดดังนี้

          – คุณที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิงนะคะ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น

          – การดื่มน้ำขิงที่มีปริมาณเข้มข้นมากเกินไป อาจทำให้คุณอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดหรือมีโอากสที่จะแท้งบุตรได้ง่าย

          – เนื่องจากขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ด จึงไม่แนะนำให้คนที่มีอุณหภูมิความร้อนในร่างกายสูงอยู่แล้วดื่ม เพราะจะยิ่งเข้าไปเพิ่มความร้อนในร่างกายจนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้

          น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มบำรุงครรภ์ที่มีประโยชน์มากมายต่อคนที่คั้งครรภ์และลูกน้อยในครรภ์ หากดื่มอย่างระมัดระวัง วิตามินและสารอาหารสำคัญต่าง ๆ ก็จะช่วยบำรุงให้สุขภาพของคุณและลูกน้อยในครรภ์แข็งแรงได้อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก : momjunction.com, thehealthyhoneys.com

“6 เมนูน้ำขิง” พิชิตไข้ ห่างไกลเรื่องป่วย

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า “ขิง”  สมุนไพรมากสรรพคุณ ที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยานานาชนิด สามารถนำส่วนต่างๆมาใช้ในการรักษาโรค บรรเทาอาการต่างๆ มาใช้ในการรักษาโรค บรรเทาอาการต่างๆได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมีกลิ่นหอมพร้อมรสชาติเผ็ดร้อนถึงใจ ใช้ร่วมกับการปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู

วันนี้เรามี 6 เมนูเครื่องดื่มสำหรับคนที่รักสุขภาพ ที่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยได้เป็นอย่างดี

  1. เมนูบรรเทาไข้หวัด

            นำขิงสดมาคั้นให้ได้น้ำที่มีลักษณะข้น ปริมาณ ¼ ถ้วย นำน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำอุ่น ½ ถ้วย เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย เพื่อลดทอนความเผ็ดร้อนของขิงลง คนให้เข้ากัน จิบบ่อยๆๆข่จะค่อยๆทุเลาลง

  1. เมนูบรรเทาอาการเจ็บคอ

            นำขิงสดมาฝนให้ได้น้ำที่มีลักษณะข้น 1 ปริมาณช้อนชา บีบมะนาวและผสมเกลือลงไปเล็กน้อย รับประทานวันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ อันเนื่องมาจากเสมหะได้

  1. เมนูบรรเทาอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ

            นำขิงผงปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ชงในน้ำเดือด ปริมาณ 500 มิลลิลิตร หรือจะนำขิงแก่มาต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ สามารถผสมน้ำตาลได้เล็กน้อยตามความชอบ ค่อยๆจิบทีละนิด จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้

  1. เมนูบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน

            นำขิงแก่มาทุบให้แตก ต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ ค่อยๆจิบทีละนิด สูตรบรรเทาอาการคลื่นไส้นี้สามารถใช้ได้กับทั้งอาการอาเจียนทั่วไป อาการเมารถเมาเรือ อาการอาเจียนหลังผ่าตัดได้

  1. เมนูบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

            ฝานขิงสดเป็นชิ้นบางๆ ต้มกับน้ำร้อนปริมาณ 1 แก้วกาแฟ สามารถใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปได้เล็กน้อยตามความชอบ ค่อยๆจิบจนหมดแก้ว จะสามารถช่วยบรรเทากาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดประจำเดือนทุเลาลง

  1. เมนูบรรเทากลิ่นปาก

            น้ำขิงมาคั้น ผสมกับน้ำอุ่นปริมาณ 1 แก้วกาแฟ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย นำมาบ้วนปาก สรรพคุณของขิงจะช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องปาก ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น

แต่ให้ง่ายกว่านั้นก็ใช้ขิงผงจินเจนสูตร 100% ไม่ผสมน้ำตาลแทนขิงสดได้ หรือจะเลือกดื่มรสชาติอื่นจินเจนก็มีให้เลือกดื่มได้หลายสูตรตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสูตรเข้มข้น สูตรยอดนิยม หรือสูตรที่ผสมน้ำผึ้ง สนใจเพิ่มเติมสามรถเข้าไปดูสินค้าได้ที่ https://shop.gingen.com นะคะ

10 พืชผักสมุนไพร สร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค

ก่อนจะไปดูว่า 10 พืชผักสมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค นั้นมีอะไรบ้าง  เราขอพามารู้จักคุณค่าของผักจากสีทั้ง 5 กลุ่มกันก่อนนะคะ

1. สีเขียว จะให้สารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน และช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนวัย นอกจากนี้การกินผักใบเขียวเป็นประจำจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีอีกด้วยค่ะ

2. สีเหลือง/ส้ม   ผักกลุ่มสีนี้ให้สารลูทีน และ เบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจดวงน้อยๆ ของเรา และรักษาดูแลหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปจนถึงบำรุงสายตา

3. สีแดง มีสารไลโคปีน และ เบตาไซซีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า โดยสารไลโคปีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และผักสีแดงยังอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงอีกด้วย

4. สีม่วง/น้ำเงิน   มีสารแอนโทไซยานิน กลุ่มนี้ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้สามารถยับยั้งเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

5. สีขาว/น้ำตาลอ่อน   ประกอบไปด้วยสารแซนโทน ช่วยลดอาการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีกรดไซแนปติก และ อัลลิซิน โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันว่า พืชผักสมุนไพรตัวท๊อปๆในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในแต่ละกลุ่มนั้นมีอะไรกันบ้าง

พลูคาว หรือผักคาวตอง ผักท้องถิ่นของประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยด้วย นิยมรับประทานใบสดแกล้มอาหาร โดยเฉพาะอาหารเหนือและอีสาน เช่น ลาบ ก้อยหรือแจ่ว ขณะเดียวกันก็นิยมใช้เป็นสมุนไพรทางยามาอย่างยาวนานแล้ว อาทิ รักษาการอักเสบต่างๆ  รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจต่างๆ   อีกทั้งในปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยถึงสรรพคุณของพลูคาวพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลิก ที่นอกจากมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้ว ยังพบฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส ทั้งทางตรง และทางอ้อม

มะกรูด สมุนไพรที่หลายบ้านนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารนั้น มีสรรพคุณทางยาในการต้านทานโรคมากมาย ทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง   และหากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดก็มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเครียด คลายความกังวล นอกจากนี้สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด จากนั้นแช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง

ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ มีสารอาหารที่ดีมากมายสำหรับร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแตสเซียม ทองแดง และวิตามินบี 6 ซึ่งขิงนั้นช่วยป้องกันอาการอักเสบในระบบร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ขิงยังช่วยแก้พิษ ลดบวม ขับลม ซึ่งมีงานวิจัยยุคปัจจุบันที่รองรับสรรพคุณว่าขิงสามารถลดอาการไข้หวัดได้อีกด้วย

ไพล สมุนไพรไทยอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และใบของไพลสามารถรักษาอาการหวัดให้ดีขึ้น ส่วนในร่างที่ปวดเมื่อยตามตัว  สามารถใช้ไพลเป็นสมุนไพรทางเลือกเพื่อลดอาการปวดได้ โดยไพลมักจะนำมารักษาในรูปแบบน้ำมันหอมระเหย เพื่อลดการอักเสบต่างๆ

ใบบัวบก   เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น นิยมรับประทานด้วยการนำมาต้มเป็นน้ำ มีฤทธิ์ลดการอักเสบในช่องปาก ลดการบวม แก้อาการช้ำใน และลดการอักเสบที่ผิวหนังได้ด้วย เพราะมีสาร asiaticoside ที่ช่วยสมานแผลผิวหนัง ทั้งยังมีสรรพคุณมากมาย ทั้งลดความดัน ลดความเครียด บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นอีกด้วย

ผักแพว ผักที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีกลิ่นหอมฉุน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยในการชะลอวัย อีกทั้งใบผักแพวยังช่วยขับเหงื่อ ทำให้เลือดลมดี และป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย หลายๆ คนนิยมใช้เป็นเครื่องเคียง ในแหนมเนือง

ฝักเพกา เป็นผักที่นิยมจิ้มกินกับน้ำพริก ลักษณะเป็นฝักสีเขียวยาวประมาณ 1 ศอก และในทางการแพทย์ระบุว่าฝักเพกามีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่ได้จากเปลือกต้นเพกา มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ การแพ้  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอการเสื่อมของเซล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อีกด้วย

ผักเชียงดา พืชผักที่ได้รับความนิยมในการใช้ลดน้ำตาลในเลือด เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ มีชื่อเรียกอย่างหลากหลาย อาทิ ผักเซี่ยงดา เซ่งดา เจียงดา ผักกูด เป็นต้น ส่วนภาคกลางจะเรียกกันว่า ผักจินดา โดยข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีวิตามินซีสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

ผักคะน้า เป็นผักใบเขียวที่มีวิตามินซีสูงถึง 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม หาซื้อง่าย แถมนำมาทำอาหารก็ไม่ยุ่งยาก ส่วนสรรพคุณ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ และเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ อีกทั้งวิตามินซีในผักคะน้ายังช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ด้วยการเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

มะรุม  พืชผักพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซี141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี โปรตีน หรือธาตุเหล็ก โดยประโยชน์ของมะรุม ก็มีทั้งรักษาอาการหวัด ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด บรรเทาอาการปวดตามข้อ  บำรุงร่างกาย สายตา ผิวพรรณ และต่อต้านมะเร็ง แต่ในผู้ป่วยโรคเลือด หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทานมะรุมมากเกินไป เพราะจะส่งให้โรครุนแรงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Goldenland.co.th

อ้างอิง

https://bit.ly/3aikWuY
https://amprohealth.com/herb/gotukola/

https://medthai.com/
https://siamrath.co.th/n/141001

5 โรคมะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีลักษณะเฉพาะและต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากวัยเยาว์ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ วัยผู้ใหญ่ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ดูธรรมดาอาจเป็นสัญญานของโรคร้ายบางอย่างได้หากไม่รู้เท่าทัน

สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงนั้น รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ชนิดของมะเร็งที่พบผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การรู้จักกับโรคมะเร็งเหล่านี้และรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคได้อย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมาก

มะเร็งเต้านม

เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยความเสี่ยงต่อโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานาน เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และการใช้ชีวิตในแบบที่ทำลายสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย หรือการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงควรสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคมะเร็งเต้านมและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคลำพบก้อนในเต้านมหรือใต้แขน บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม และมีอาการปวดบริเวณเต้านม

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเต้านม

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวนด์ทุก 1-2 ปี

มะเร็งปากมดลูก

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง โดยเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ได้แก่ ช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ รวมถึงการมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกหรือระยะก่อนเป็นมะเร็งนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้น หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ประจำเดือนมานานผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว บางรายมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นผิดปกติ เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกจึงหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกภายใน 3 ปีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปโดยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปีควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้หญิง โดยปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยถูกตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน มีประวัติเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูงและไม่ค่อยรับประทานผัก ผลไม้

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในระยะต้นๆ มักไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งโรคพัฒนาขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกถ่ายไม่หมด ปวดมวนท้องไม่ทราบสาเหตุ อุจจาระมีเลือดปน ลักษณะอุจจาระเล็กเรียวยาวกว่าปกติ รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีภาวะโลหิตจาง

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือวิธีอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 50 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เริ่มมีอายุน้อยลง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองเร็วขึ้นคือเริ่มที่อายุ 40 ปี

มะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นมากในอันดับที่ 4 โดยไม่เพียงเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากคือกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตรวจพบโรคเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่มีอัตราการอยู่รอดห้าปีไม่ถึงร้อยละ 5

เราทราบกันดีว่าสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สัมผัสควันบุหรี่ (second-hand smoking) และผู้ที่เคยรับสารพิษจากการสูดดมเมื่ออายุน้อยๆ ซึ่งอาการของโรคจะปรากฎเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะที่ 3-4 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมะเร็งเกิดที่หลอดลมก็จะมีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอมีเลือดปน

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งปอด

หากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เลิกสูบมาไม่เกิน 15 ปี มีบุคคลในครอบครัวสูบบุหรี่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับมลภาวะและสารพิษต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dose computerized tomography หรือ low-dose CT) ซึ่งใช้ปริมาณรังสีน้อยแต่ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงเช่นเดียวกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจจึงมีความปลอดภัยและแม่นยำ

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย โดยสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นผู้หญิงที่มีบุตรน้อยหรือไม่มีบุตร มีประจำเดือนต่อเนื่องแม้จะถึงวัยที่ควรหมดประจำเดือนแล้ว มีภาวะฮอร์โมนผันผวน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้มากขึ้น

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

การป้องกันตัวเองจากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติจึงจำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์หรือใช้วิธีเก็บเซลล์จากโพรงมดลูกไปตรวจ หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางปากมดลูกเพื่อตรวจโพรงมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือมะเร็งหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ภาระกิจ เพิ่มน้ำนมแม่! (เคล็ดลับสำหรับคุณแม่มือใหม่)

คุณแม่ที่กำลังให้นมอยู่ฟังทางนี้จ้า!!
วันนี้จินเจนชวนคุณแม่มาทำ “ภาระกิจเพิ่มน้ำนม” ด้วยกัน!

ถึงแม้ว่าการที่ลูกดูดนมแม่จากเต้านั้นจะเป็นการกระตุ้นน้ำนมไปในตัวอยู่แล้ว แต่คุณแม่ก็ไม่ควรละเลยในการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุง และกระตุ้นน้ำนมให้มีปริมาณมากขึ้น และมีคุณภาพสารอาหารในน้ำนมดีขึ้นด้วย โดยคุณแม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เฉกเช่นเดียวกับตอนที่ลูกน้อยยังอยู่ในครรภ์ แต่ควรเพิ่มปริมาณอาหารจากเดิมเพิ่มขึ้นอีก 500 กิโลแคลอรี่ เพื่อใช้ในการสร้างน้ำนม และบำรุงคุณแม่ให้มีร่างกายที่แข็งแรงนะคะ

ถ้าหากคุณแม่ยังคิดไม่ออกว่าจะรับประทานอาหารแบบใด ปริมาณเท่าไหร่ดี พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช จาก มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณอาหารที่คุณแม่ควรได้รับในแต่ละวันค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูทีละประเภทได้เลยค่ะ

อาหารประเภทแป้ง และคาร์โบไฮเดรต ควรรับประทานวันละ 9-10 ทัพพี

เหล่าธัญพืช เช่น ข้าวโพดและถั่วต่างๆ ควรรับประทานเป็นประจำเพราะให้โปรตีนสูง

อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ควรไม่ติดมัน และรับประทานทานมื้อละ 3-4 ช้อนโต๊ะ

รับประทานอาหารทะเลได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะได้รับกรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของทารกน้อย

ควรได้รับไข่วันละ 1 ฟอง เพราะในไข่มีโปรตีนที่มีคุณภาพ รวมทั้งวิตามิน และเกรือแร่

นมสดควรดื่มวันละ 1-2 แก้ว เพราะมีโปรตีนและแคลเซียมมาก

น้ำสะอาดคือสิ่งที่จำเป็น ควรได้รับอย่างน้อยประมาณวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยหลั่งน้ำนมให้ดีขึ้น

ผักสด ทั้งชนิดใบเขียว ใบเหลืองควรได้รับวันละ 6 ทัพพี เพื่อที่จะได้วิตามิน เกลือแร่ และช่วยในการขับถ่าย

โดยผักและผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ดีให้คุณแม่ได้เลือกหยิบจับไปปรุงอาหารรับประทาน เริ่มจาก ใบกะเพรา, กุยช่าย, กานพลู, ขนุน (เมล็ดต้มสุก), ขิง, ต้นเขยตาย, ผักโขมหนาม, ชบาดอกแดง, ตำลึง, ไทรย้อยใบแหลม, นมนาง และ ผักกาดหอม เป็นต้น

อยากรับประทานขิงแบบง่ายๆ เลือกชงน้ำขิงดื่มจากขิงผงที่ผลิตจากขิงแท้ 100% ก็ได้นะคะ

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#จินเจน #ชงดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ซื้อจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> Gingen Online Shop

11 อ. สูงวัยแบบ STRONG!!

สว. (สูงวัย) ต้องอ่าน!! กฏเหล็ก 11 อ. ที่ผู้สูงวัยต้องมี เพื่อที่จะได้ดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดที่บ้านให้ Strong! ไปด้วยกันนะค่ะ ไปเริ่มกันเลย..

1. อาหาร

เมื่อสูงวัยขึ้น ยิ่งต้องเอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษนะคะ เพราะเป็นวัยที่มีการเสื่อมถอยของระบบย่อยอาหาร และการทำงานของอวัยวะทุกส่วน ดังนั้น การลดปริมาณอาหารลง แล้วทานให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ จะดีต่อร่างกายและอารมณ์มากเลยค่ะ 

2. อากาศ

อะไรจะดีไปกว่าการได้สูดอากาศสดชื่นในสวนสาธารณะในวันหยุด? เพราะอากาศบริสุทธิ์ช่วยฟอกเลือดและนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ และการได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีทุกวัน ยังส่งผลให้อารมณ์แจ่มใส สุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวอีกด้วยนะคะ

3. ออกกำลังกาย

ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 30 นาที)

การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น และยังมีผลต่อกระดูกอย่างเห็นได้ชัด

กระดูกในผู้สูงอายุจะมีสารแคลเซี่ยมลดลง (osteoporosis) ทำให้เนื้อกระดูกบางลง แต่ถ้าผู้สูงอายุมีการออกกำลังอยู่เสมอ พบว่าจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้

4. อนามัย

ผู้สูงอายุควรสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย และจิตใจอยู่เสมอ ถ้าพบความผิดความปกติในระยะเริ่มต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดีและง่ายขึ้นอีกด้วย

5. อาทิตย์

การรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า (อย่างน้อยวันละ 30 นาที) ช่วยป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ “วิตามินดี” แสงแดด ยังสามารถป้องกันโรคซึมเศร้า เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน กล้ามเนื้อให้แข็งแรงได้อีกด้วยนะคะ

6. อารมณ์

การทำสมาธิ หรือโยคะ ส่งผลต่ออารมณ์ที่สงบนิ่ง ช่วยฝึกสติให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และเกิดอาการผ่อนคลาย

เมื่ออารมณ์ดี มีการยิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอ็นโดฟีนแห่ง “ความสุข” ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียดวิตกกังวล และกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น การไหลเวียนโลหิต และร่างกายโดยรวมดีขึ้นอีกด้วยนะคะ

7. อดิเรก

งานฝีมือ ปลูกต้นไม้ เต้นลีลาศ ทำอาหาร ร้องเพลง หรือเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุได้อย่างดี ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำในวันว่าง เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และยังช่วยให้รู้สึกมีคุณค่า ภูมิใจในตัวเองอีกด้วย

ลองมองหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำรักและชอบดูนะคะ

8. อบอุ่น

การฝึกบุคลิกให้เป็นคนโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อคนรอบข้าง เป็นพลังที่ช่วยให้คนอยากเข้าใกล้ รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจได้อย่างดีเลยค่ะ

รู้แล้ว อย่าลืมให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและคนอื่นๆ ดู รับรองว่าจะได้มิตรภาพที่ดีกลับคืนมาอย่างแน่นอนค่ะ 

9. อุจจาระ / ปัสสาวะ

เรื่องการขับถ่ายของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญเพราะอยู่ในชีวิตประจำวัน บางรายเกิดปัญหาถ่ายยาก หรือไม่สามารถกลั้นปัสสาวะเองได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้มีสารพิษตกค้างในร่างกายได้ง่ายๆ การป้องกันที่ดีที่สุด คือฝึกทานผักผลไม้ให้เป็นนิสัย รวมถึงดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ จะช่วยให้ระบบร่างกายภายในดีขึ้นได้

*ผู้หญิงสูงวัยหลายคนมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ หลายคนจึงไม่ชอบดื่มน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะคะ

10. อุบัติเหตุ

ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสายตาสั้นยาว หรือหูผิดปกติ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ จึงควรระมัดระวังการใช้ชีวิตเป็นพิเศษ

หากพบว่ามีความผิดปกติทางร่างกาย ควรหาทางแก้โดยด่วนค่ะ เช่น สายตายาวควรใส่แว่นสายตา รวมถึงดูแลสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย มีแสงสว่างพอเหมาะ พื้นไม่ลื่น มีราวจับบริเวณบันไดและห้องน้ำ เป็นต้น

11. อนาคต

เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น ควรมีการวางแผนคิดถึงอนาคตไว้ด้วย การเข้าร่วมสังคมกลุ่มต่างๆ หรือมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน จะทำให้มีความอบอุ่นไม่เหงาใจ และรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง

รวมถึงวางแผนสำหรับการเตรียมเงิน และที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินชีวิตในอนาคตได้อย่างดีเลยค่ะ

Gingen สนับสนุนให้ สว. มีชีวิตแฮปปี้ ดีต่อใจ ♥

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
ช้อปจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ shop.gingen.com

5 สุดยอดสมุนไพร “แก้ไอ”

อาการไอ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ระคายเคืองทางเดินหายใจออกไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นภูมิแพ้ เช่น แพ้ฝุ่น ควัน สารระคายเคืองต่างๆ หรืออาจเกิดจากการอักเสบและติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ 

ซึ่งวิธีรักษาอาการไอนั้น นอกจากรักษาตามแนวแพทย์แผนปัจจุบัน คุณอาจเลือกใช้วิธีดูแลตนเองด้วย 5 สมุนไพรที่หาได้ใกล้ตัวต่อไปนี้ 

1. ขิง

เป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมาย ผู้คนมักนำเหง้าขิงมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นยา เหง้าขิงมีรสเผ็ดหวาน เหมาะสำหรับนำมาใช้บรรเทา รักษาอาการไอ เจ็บคอ

เพราะในขิงนั้นมีสารสำคัญซึ่งอยู่ในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย เช่น จินเจอรอล (Gingerol) ซิงเจอโรน (Zingerone) โชเกล (Shogoal) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นเหียน แก้อาเจียน แก้ไอ และช่วยขับเสมหะได้ดี 

วิธีใช้: นำเหง้าแก่สด 5 กรัม หรือประมาณ 2 หัวแม่มือ ตำแล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย หรือใช้เหง้าขิงมาฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

นอกจากวิธีดังกล่าว ปัจจุบันยังมีขิงผง หรือขิงสำเร็จรูป ที่สามารถนำมาชงดื่มได้เลย แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีน้ำตาลในปริมาณน้อย

2. ผลมะแว้ง

มีรสขม สารสำคัญที่พบคือ อัลคาลอยด์ (Alkaloid) โซลาโซดีน (Solasodine) และโซลานีน (Solanine) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท และระบบหายใจ จึงช่วยบรรเทาอาการไอ 

นอกจากนี้ ยังมีสารลิกนิน (Lignin) และซาโปนิน (Saponin) ที่ช่วยลดการอักเสบ ละลาย และขับเสมหะได้ดี

วิธีใช้: ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมจะใช้มะแว้งสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาด นำมาเคี้ยวและอมไว้ หรือใช้ผลแก่สด 5-10 ผล นำมาโขลกพอแหลก คั้นน้ำ ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ หรือจิบเวลาที่ไอ

ในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบให้รับประทานได้ง่ายขึ้น คือ ยาอมมะแว้ง ที่มีรสชาติดี ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการไอ ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

3. มะนาว

เป็นพืชที่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ เพิ่มความเปรี้ยวให้อาการประเภทยำ ต้มยำต่างๆ 

นอกจากนี้ น้ำมะนาวยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เนื่องจากในน้ำมะนาวมีกรดอินทรีย์หลายชนิดจึงมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลาย ทำให้ชุ่มคอ จึงช่วยลดอาการไอ กัดเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน 

วิธีใช้: ทำได้หลากหลายแนวทาง เช่น

  • ใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้มะนาวฝานบางๆ จิ้มเกลือรับประทานเวลามีอาการ 
  • ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำมาผสมเกลือ จิบบ่อยๆ
  • นำเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ

4. มะขามป้อม

มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะ รับประทานเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้หวัด แก้ไอ กระตุ้นน้ำลาย ช่วยให้ชุ่มคอ ละลายเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ

วิธีใช้: ใช้เนื้อผลแก่สด ครั้งละประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยว รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ผลสดฝนกับน้ำแทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดจิ้มเกลือรับประทาน

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาจากสมุนไพร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ซึ่งมียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม ใช้จิบเมื่อมีอาการไอทุก 4 ชั่วโมง 

อย่างไรก็ตาม ยาแก้ไอผสมมะขามป้อมนั้นห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำตาล นอกจากนี้ควรระวังการใช้มะขามป้อมในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

5. ฟ้าทะลายโจร

มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) และอนุพันธ์ ซึ่งมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอ ป้องกันและบรรเทาหวัด ลดการอักเสบ

วิธีใช้: ใช้ใบฟ้าทะลายโจรสดหรือแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ ใส่ในแก้ว เติมน้ำร้อนแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วก็นำมารินดื่ม 

เวลาที่เหมาะสำหรับดื่มน้ำสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ ก่อนอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หากรับประทานแบบแคปซูล มีวิธีรับประทานตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานครั้งละ 3-6 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง บรรเทาอาการหวัด 
  • รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน และหากรับประทานแล้วอย่างน้อย 3 วัน อาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง และควรระวังในการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และห้ามใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับแก้เจ็บคอในกรณีต่อไปนี้

  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A)
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคไตอักเสบเนื่องจากเคยติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease: RHD)
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น

อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ มีน้ำมูก หรืออาการต่างๆ ที่เกิดจากหวัด สามารถดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นได้ ด้วยการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย จิบน้ำอุ่น และรับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ หรือรักษา และป้องกันหวัดดังที่กล่าวมาข้างต้น 

แต่นอกเหนือจากนั้น คุณควรสังเกตอาการตนเอง หากรับประทานยาสมุนไพรแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจ วินิจฉัยโรคอย่างแน่ชัด เพื่อให้รักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือโรคที่รุนแรงที่อาจเกิดตามมา

ที่มา: honestdoc
ภาพจาก: freepik

5 วิธี เตรียมตัวแก่แบบเก๋าๆ!

ใครหลายคนอาจจะไม่อยากแก่ เพราะกังวลว่าแก่แล้วร่างกายก็ทรุดโทรมมีแต่โรคมาถามหาเยี่ยมเยือน รวมถึงเรี่ยวแรงที่ถดถอย ทำให้ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับ 5 ข้อนี้ จะทำให้คุณลดความกังวลต่างๆ และกลายเป็น “คนแก่แบบมีคุณภาพ”

แล้วถ้าอยากแก่อย่างมีคุณภาพ ต้องทำอย่างไร?

1. เตรียมความคิดและจิตใจของคุณ
 ก่อนอื่นต้องเริ่มที่ความคิดและจิตใจก่อน เพราะคนสูงวัยจำนวนมาก รู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ค่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้สูงอายุต้องคิดให้ได้ก่อนว่า ตนเองมีคุณค่า มีความรู้ และประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวอันโชกโชน ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตสะสมมา การนำความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ มาค้นหาและทำอะไรสักอย่าง แม้จะดูไม่มากมายนัก แต่ก็สามารถช่วยสร้างความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาได้

2. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดใหม่ ๆ ปรับตัวให้อยู่กับยุคปัจจุบัน และทำความเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้การใช้ชีวิตร่วมกับคนหนุ่มสาว ของผู้สูงอายุง่ายขึ้นมาก เพราะสามารถพูดคุยกันแล้วเข้าใจตรงกันได้ ไม่ใช่คิดกันไปคนละทาง เข้าใจกันไปคนละอย่าง

3. เตรียมพร้อมด้านสุขภาพ  สุขภาพที่ดี จะทำให้เรา แก่อย่างมีคุณภาพ ซึ่งการเตรียมตัวด้านสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในวัยชราของคุณได้  สิ่งที่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมในด้านสุขภาพ ได้แก่ ดูแลสุขภาพทั้งอาหารการกิน  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป  หมั่นตรวจร่างกายประจำปี  งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่

4. เตรียมพร้อมด้านการเงิน ใครๆก็อยากสบายตอนแก่ทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม วัยชรา จะเป็นช่วงที่คุณยังคงมีรายจ่ายอยู่ แต่มีรายได้ต่ำ ไปจนถึงไม่มีรายได้เลย นั่นอาจทำให้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ ดังนั้นการวางแผนการเงินจึงสำคัญ การมีเงินออม จะเป็นหลักประกันว่าคุณจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นคุณควรจะเริ่มออมเงิน สำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณในไว้แต่เนิ่น ๆ

5. เตรียมพร้อมด้านที่อยู่อาศัย เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ย่อมเสื่อมสภาพไปตามอายุ ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตจะลดลง ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านจะสูงขึ้น  การเตรียมบ้านให้พร้อม และเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น และลดการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น มีพื้นต่างระดับให้น้อยที่สุด และ พื้นผิวไม่ลื่น เพื่อป้องกันการลื่นหกล้ม

ความมหัศจรรย์ของ “ขิง”

มาพบกับความมหัศจรรย์ของ “ขิง” ที่ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพมายาวนานกว่าห้าพันปีกันค่ะ

#ขิง #ประโยชน์ของขิง
#Gingen #จินเจน #ขิงผงแท้100%
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ

ใคร 40 อัพ ต้องอ่าน!!
“10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ”

ผู้ใหญ่ในวัย 40 อัพนั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น อ้วนง่าย ผิวมีริ้วรอย อ่อนเพลียไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย ความจำลดลง กระดูกพรุน เป็นต้น วันนี้เราลองมาดู “10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ” กันว่ามีโรคอะไรที่ต้องคอยระวังกันบ้าง

1. โรคเส้นเลือดอุดตัน (Atherosclerosis): ซึ่งแบ่งออกเป็นเส้นเลือดในหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดในสมองอุดตัน โดยโรคนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ การสูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง การไม่ออกกำลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไตรกลีเซอไรด์สูง


2. โรคมะเร็ง (Cancer): ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งมีตั้งแต่กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ คนที่ได้รับแสงแดดน้อยเกินไปหรือมากเกินไป คนที่รับประทานผักหรือผลไม้น้อย การได้รับสารคาซิโนเจน การได้รับสารซีโนเอสโตรเจน

3. โรคสมองเสื่อม (Dementia): สาเหตุของความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุด้วยกัน ตั้งแต่อัลไซเมอร์ พบมากที่สุดประมาณ 60% จากสาเหตุทั้งหมดหรือการถูกทำลายของเซลล์สมองและมีการลดลงของสารสื่อประสาท หรืออาจเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ในสมองอุดตัน ซึ่งพบได้ประมาณ 20% จากสาเหตุทั้งหมด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบมักร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน เป็นต้น

4. โรคอ้วน (Obesity): อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นอัตราการเผาผลาญ อาหารที่รับประทาน กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หรืออาจเกิดจากฮอร์โมน

5. วัยทอง: เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศลดลง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

6. โรคนอนไม่หลับ (Insomnia): สาเหตุหลักๆมาจากคุณภาพการนอนไม่ดี จนทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับแต่หลับไม่ลึก

Osteoporosis concept on white background illustration

7. กระดูกพรุน (Osteoporosis): มีหลายสาเหตุ เช่น ฮอร์โมนลดลง หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางประเภท

8. โรคข้อเสื่อม (Degenerative Joint Disease): สาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนและความเสื่อมชรา

9. ผิวหนังเสื่อมสภาพ (Aging Skin): สาเหตุเกิดจากทั้งภายในและภายนอก เช่น ระดับฮอร์โมนที่ลดลง แสงแดด การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การอักเสบติดเชื้อในร่างกายและมลภาวะเป็นพิษ


10. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย (Chronic Fatigue Syndrome): ซึ่งก็มาจากสุขภาพตามวัย

วิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆที่ทุกคนพอจะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ หรือชะลอความรุนแรงของมัน ก็คือ หลีกเลี่ยง บุหรี่ เหล้า ชา กาแฟ ของหวาน อาหาร ปิ้ง-ทอด และแสงแดดแรงๆ นอกจากนี้เรายังต้องปรับวิธีการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย

Cr: Life Center

#Gingen #ขิงผงจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

สั่งซื้อจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่:
https://shop.gingen.com