รู้หรือไม่ว่าสามารถดื่ม “จินเจน” ได้ทุกโอกาส

รู้หรือไม่ว่าสามารถดื่ม “จินเจน” ได้ทุกโอกาส

น้ำขิง  เป็นเครื่องดื่มที่อบอุ่นใจและเต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย  หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลสุขภาพที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ น้ำขิงอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังหาอยู่!  บทความนี้จะบอกว่าทำไมการดื่มน้ำขิงจึงเหมาะสมในทุกโอกาส ตั้งแต่การช่วยย่อยอาหารหลังมื้ออาหาร ไปจนถึงการฟื้นฟูร่างกายและเสริมภูมิคุ้มกันในช่วงเวลาต่างๆ  เราจะมาร่วมเรียนรู้วิธีการที่ทำให้คุณสามารถเพิ่มน้ำขิงเข้ามาในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดายและมีสุขภาพดีไปด้วยกัน!

1. ดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหาร

ขิงช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารหลังมื้ออาหาร ลดอาการท้องอืด และทำให้ระบบย่อยทำงานได้มีประสิทธิภาพ ทำให้รู้สึกสบายท้อง

2. ดื่มน้ำขิงเพื่อดูแลสุขภาพและบรรเทาอาการหวัด

ขิงช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก และไอได้ดี ด้วยคุณสมบัติต้านการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน น้ำขิงร้อนช่วยฟื้นตัวจากหวัดและเสริมการทำงานของร่างกาย

3. ดื่มน้ำขิงก่อนออกกำลังกาย

ขิงช่วยเพิ่มพลังงานและการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้ดี

4. ดื่มน้ำขิงยามเช้า

เริ่มต้นวันด้วยการดื่มน้ำขิงในตอนเช้าช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ และเสริมพลังงานให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารระหว่างวัน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

5. ดื่มน้ำขิงก่อนนอน

น้ำขิงอุ่นๆ ก่อนนอนช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีในระหว่างการนอนหลับ ลดอาการท้องอืด ทำให้คุณหลับสบายและตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น

6. ดื่มน้ำขิงระหว่างท่องเที่ยวเดินทาง 

น้ำขิงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่มักเมารถเมาเรือ เนื่องจากขิงมีสรรพคุณบรรเทาอาการคลื่นไส้และทำให้คุณรู้สึกสบายขณะเดินทาง

7. ดื่มน้ำขิงเพื่อบำรุงคุณแม่มือใหม่ 

ขิงช่วยบรรเทาอาการหลังคลอดและเสริมสุขภาพให้คุณแม่มือใหม่ โดยเฉพาะในด้านการฟื้นฟูระบบย่อยอาหารและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังจากการคลอด

8. ใช้ขิงผงสำหรับทำและปรุงอาหาร

ขิงผงสามารถใช้ในการปรุงอาหาร เช่น ใส่ในซุป น้ำแกง ขนมอบ หรือในชา ขิงผงช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารและเสริมคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างดี

 

สำหรับท่านที่ต้องการรับประทานขิง ในวาระโอกาสต่างๆ  ปัจจุบันสามารถบริโภคขิงผงสำเร็จรูปทดแทนได้ โดยจะเลือกแบบไม่มีน้ำตาล หรือเลือกรสชาติตามต้องการ

ขิงผงสำเร็จรูปจินเจน เป็นขิงแท้ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน หอม อร่อย กลมกล่อม ตามแบบฉบับเฉพาะของจินเจน เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของขิงแก่สดคุณภาพเยี่ยม ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องน้ำตาล ดื่มเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นได้ทุกครั้งหลังมื้ออาหาร เพื่อปรับสมดุลจากภายใน หรือใช้แทนขิงสดในการปรุงอาหาร ทั้งคาวหวาน สะดวกเพียงฉีกซองแล้วเท

 

ดื่มความสุขสดชื่น ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

“น้ำขิง” หลังมื้ออาหาร ช่วยย่อยได้อย่างไร?

น้ำขิงหลังมื้ออาหาร ช่วยย่อยได้อย่างไร? 

น้ำขิงช่วยย่อยอาหารได้อย่างไร?

1.กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

สารประกอบในขิงจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำย่อยออกมา ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.ลดอาการท้องอืด

น้ำขิงช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อในลำไส้ ทำให้ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้

3.บรรเทาอาการจุกเสียด

สาร gingerol ในขิงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง

4.ขับลม

น้ำขิงช่วยขับลมออกจากร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น

นอกจากนี้ น้ำขิงยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น

ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้: เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกไม่สบายตัว หรือมีอาการเมารถ เมาเรือ

ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดเมื่อย

ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์

วิธีดื่มน้ำขิงเพื่อช่วยย่อย

ดื่มหลังมื้ออาหารประมาณ 30 นาที: ช่วยให้ร่างกายมีเวลาในการย่อยอาหาร และน้ำขิงก็จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดื่มอุ่นๆ: การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารได้ดี

ผสมน้ำผึ้ง หรือมะนาว: เพื่อเพิ่มรสชาติและประโยชน์ต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น

ดื่มความสุขสดชื่น ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

 

สายแคมป์ปิ้งห้ามพลาด! 5 ไอเทมนี้ต้องมีติดเป้!

ขิงสายแคมป์ปิ้งห้ามพลาด!! 5 ไอเทมนี้ต้องมีติดเป้ พร้อมสัมผัสพลังขิงผงจินเจน

สำหรับนักผจญภัยที่หลงใหลในธรรมชาติ การไปแคมป์ปิ้งคือกิจกรรมที่ตอบโจทย์ที่สุด แต่การจะออกไปสัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มที่นั้น จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 ไอเทมสำคัญที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ นอกจากจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตกลางแจ้งแล้ว ยังมีหนึ่งไอเทมพิเศษที่สายสุขภาพไม่ควรพลาด นั่นคือ “ขิงผงจินเจน”

ที่จะมาช่วยเติมเต็มพลังให้กับทริปของคุณ

 

5 ไอเทมเด็ด สำหรับนักแคมป์ตัวจริง

  • เต็นท์สุดโปร่ง


 เต็นท์คือบ้านหลังน้อยของคุณในระหว่างการเดินทาง เลือกเต็นท์ที่มีขนาดเหมาะสมกับจำนวนผู้เดินทาง วัสดุกันน้ำ และมีช่องระบายอากาศที่ดี เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างสบายในทุกสภาพอากาศ

  • ถุงนอนอบอุ่น

ถุงนอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณหลับสบายตลอดคืน โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เลือกถุงนอนที่มีค่า R-Value (ค่าความต้านทานความร้อน) เหมาะสมกับสภาพอากาศในช่วงที่คุณจะไปแคมป์

  • ไฟฉายพกพา

ไฟฉายเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการใช้งานในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า การหาของใช้ หรือการสังสรรค์รอบกองไฟ เลือกไฟฉายที่มีความสว่างเพียงพอและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน

  • มีดพับอเนกประสงค์

มีดพับเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการตัดเชือก หั่นอาหาร หรือใช้ในยามฉุกเฉิน เลือกมีดที่มีใบมีดคมและจับถนัดมือ

  • ขิงผงจินเจน

มาถึงไฮไลท์ของเราแล้ว! ขิงผงจินเจมีสรรพคุณ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เพียงแค่ชงน้ำขิงอุ่นดื่มๆ สักแก้ว ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและมีพลังตลอดทั้งวัน

วิธีการนำขิงผงจินเจนไปใช้

  • ชงดื่ม: ผสมขิงผงจินเจนกับน้ำร้อน เพิ่มน้ำผึ้งหรือมะนาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • ปรุงอาหาร: นำขิงผงจินเจนไปผสมกับอาหาร เช่น ไข่เจียว ซุป หรือผัดผัก
  • พกพาติดตัว: ขิงผงจินเจน พกพาไปด้วย เพื่อความสะดวกในการใช้งาน 

การไปแคมป์ปิ้งเป็นกิจกรรมที่สนุกและผ่อนคลาย แต่การเตรียมตัวให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญ การมีอุปกรณ์ที่จำเป็นและการเลือกพกพาขิงผงจินเจนไปด้วย จะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินป่ามือใหม่หรือมืออาชีพ ขิงผงจินเจนก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีเสมอ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์

หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์

รักษาสมดุล อบอุ่นร่างกาย ทุกการเดินทางด้วยจินเจน

ดื่มความสุขสดชื่น ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

สายตี้ฟังทางนี้! 5 ไอเทมแก้เมาค้าง หาซื้อง่าย

อาการเมาค้างเกิดขึ้นจากการที่เราดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป ทำให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาต่อต้านแอลกอฮอล์ขึ้นมา ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ตามสภาพร่างกาย หรือการเตรียมตัวของแต่ละคน

อาการ ได้แก่ อาการขาดน้ำ ปวดหัว หงุดหงิด คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย บางคนนอนไม่หลับ ลิ้นขาดรสสัมผัส ขมปากขมคอ มีไข้ ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า และวิตกกังวลตามมา

มาดู 5 ไอเทมแก้อาการเมาค้างที่หาซื้อได้ง่าย ๆ กัน

1. น้ำขิง เครื่องดื่มสมุนไพร ก็ช่วยแก้แฮงค์ได้เป็นอย่างดี น้ำขิงจะช่วยฟื้นฟูร่างกาย ระบบหายใจ และป้องกันอาการปวดหัวที่จะมาได้ในระดับหนึ่ง และยังเป็นตัวช่วยขับแอลกอฮอล์ออกมาทางระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

2. กาแฟดำ เอสเพรสโซ่สักช็อต หรืออเมริกาโน่ร้อนสักแก้ว ช่วยแก้แฮงค์ให้ดีขึ้นได้มาก คาเฟอีนในกาแฟจะช่วยกระตุ้นคุณให้ฟื้นจากอาการมึนหัว และขับปัสสาวะ ทำให้แอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย

3. เครื่องดื่มวิตามิน ที่มีส่วนผสมของวิตามินบี และวิตามินซี จะเป็นตัวช่วยอย่างดี หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายยาทั่วไป เพราะวิตามินดังกล่าวสามารถช่วยลด อาการเมาค้างได้มาก และควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปหลังจากการดื่มหนัก

4. นมช็อกโกแลต ช่วยป้องกันอาการเมาค้างได้อย่างดี แถมไม่ทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างแรงเมื่อตื่นขึ้นมาอีกด้วย

5. น้ำเกลือแร่ เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำไปมาก เพราะแอลกอฮอล์ สายปาร์ตี้ควรมีน้ำเกลือแร่ ชนิดละลายน้ำไว้เป็นตัวช่วยฟื้นฟูอาการขาดน้ำด้วย และควรติดตัวไว้จิบทั้งวันเพื่อแก้แฮงค์ และเติมน้ำให้ร่างกายอย่างต่อเนื่อง และทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น



นอกจากนี้แนะนำให้ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อขับแอลกอฮอล์ เช่น วิ่ง วิดพื้น ให้ร่างกายได้เหงื่อ จะเป็นการขับแอลกกอฮอล์ออกมาจากร่างกาย ช่วยแก้แฮงค์ และทำให้ร่างกายรู้สึกกระปี้กระเปร่าขึ้น

ที่มา: โรงพยาบาลขอนแก่นราม

Ginger Shot น้ำขิงช็อตสำหรับคนอยากสวย

Ginger Shot หรือขิงสกัด หลายคนนิยมกินเป็นช็อตทุกวันในตอนเช้า เนื่องจากมีสรรพคุณมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

แต่ก่อนที่จะไปดูประโยชน์ของขิงช็อตเรามาดูในส่วนของวัตถุดิบสำหรับการทำขิงช็อตซึ่งทำง่ายมาก ว่ามีอะไรบ้าง

วัตถุดิบ

1.ขิงแก่ 3 หัวใหญ่ๆ (สามารถใช้ขิงผงแทนได้)

2.ขมิ้น 3-4 ชิ้นเล็ก (สามารถใช้ขมิ้นผงแทนได้)

3.แอปเปิล 1 ลูก (ช่วยให้ทานง่าย)

4.เลม่อน 1 ลูก

5.มะนาว 2 ลูก

6.ส้ม 2 ลูก

7.น้ำผึ้ง 1 ช้อน (หรือชิมตามรสที่ชอบ)

8.พริกไทยดำบด 1 หยิบนิ้ว

9.น้ำสะอาด (ช่วยให้ปั่นง่ายขึ้น)

ส่วนวิธีการทำนั้นก็ไม่ยาก

1.ขิงและขมิ้น หั่นเป็นแว่นๆ

2.แอปเปิล ส้ม เลม่อน และมะนาวให้ปอกเปลือกไม่ต้องนำเม็ดออก นำทั้งหมดใส่โถปั่น

3.เติมน้ำสะอาดเพื่อให้ปั่นง่ายขึ้นและใส่พริกไทยดำบดลงไป จากนั้นทำการปั่นได้เลย

4.ใช้ผ้าขาวบางกรองเอากากออก ก็จะได้เป็นน้ำขิงสกัดที่เข้มข้นมาก

วิธีการรับประทาน

แนะนำสูตรสำหรับทานง่าย ให้เติมน้ำผึ้งลงไป จากนั้นให้แบ่งน้ำขิงสกัดเป็น 3 ส่วน เติมน้ำเปล่า 1 ส่วน ให้เจือจาง จากนั้นแบ่งเป็นช็อต สามารถเก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 7 วัน

แนะนำให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 ช็อต เพราะจะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร ดีท็อกซ์ลดพุง ช่วยชะลอวัยและเรื่องผิวพรรณ เสริมภูมิคุ้มกันได้ดีมากๆเลยค่ะ

#ดื่มความสุขสดชื่น
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

3 ความลับของขิงที่หลายคนคาดไม่ถึง

หลายคนอาจรู้กันอยู่แล้วว่าสรรพคุณของขิงนั้นช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลดอาการวิงเวียนศีรษะจากการเมารถได้

แต่จริงๆแล้วน้ำขิงมีความลับมากกว่านั้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1.ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้

เหมาะมากๆกับในยุคโรคระบาดอย่าง โควิด เพราะมีงานวิจัยจากปี 2008 พบว่าเวลาที่้เราดื่มน้ำขิงทุกวันจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่อยู่ในช่องปากและทางเดินหายใจได้

ดังนั้นก็หมายความว่าอาจมีส่วนที่จะช่วยทำให้คนที่ดื่มน้ำขิงเป็นประจำมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงมากขึ้น จึงไปช่วยต่อต้านเชื้อโรคจากแบคทีเรียและไวรัสนั่นเอง

 

2.ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อม

ใครก็ตามที่รู้สึกไม่ดี กลัวจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต ดื่มน้ำขิง หรือทานขิงช่วยได้ เพราะในงานวิจัยพบว่า เมื่อให้ผู้หญิงในวัย 50-60ปี ทานขิงสกัดติดต่อกัน 2 เดือน จะช่วยพัฒนาความจำให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่า น้ำขิงน่าจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอนาคตได้

 

3.บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน

เพียงดื่มน้ำขิงก่อนประจำเดือนมา 4 วันทุกเช้า

ผลปรากฎว่าอาการปวดท้องประจำเดือนลดลง

โดยที่ในงานวิจัยถ้าคุณลองไปหาอ่านก็จะมีเยอะมากในเรื่องช่วยปวดท้องประจำเดือน ดังนั้นคุณสามารถนำขิงมาทำเป็นอาหาร หรือจะดื่มเป็นน้ำขิงก็ได้ง่ายๆ สะดวกและประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดี

 

#ดื่มความสุขสดชื่น #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

5 สาเหตุที่ทำให้ท้องอืด

รู้หรือไม่! เวลาที่เราเกิดอาการท้องอืดนั้นอาจจะเกิดมาได้จากสาเหตุต่างๆได้ ซึ่งหลักๆก็จะเป็น 5 สาเหตุนี้ด้วยกัน คือ

.

1. เกิดจากการรับประทานอาหาร เช่น ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาจจะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลงและเกิดอาการท้องอืดได้

.

2. การใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ก็จะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าเป็นสาเหตุของอาหารท้องอืดเช่นกัน

.

3. อายุ เมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัยระบบย่อยอาหารจะทำงานช้าลง เราจึงจะเห็นว่าผู้สูงอายุมักจะมีอาการท้องอืดได้ง่ายและบ่อยกว่าคนอายุ

.

4. ติดเชื่อแบคทีเรียที่ชื่อ เอช ไพโลไร ทำให้เสียดท้อง และมีอาการท้องอืดได้

.

5. ท้องผูก ทำให้เกิดอาหารท้องอืดตามมาได้เนื่องจากความดันในทางเดินอาหารสูงขึ้น

.

#สาเหตุของอาการท้องอืด

#การดื่มน้ำขิงบรรเทาอาการท้องอืดได้

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#อบอุ่นกาย #อบอุ่นใจ #อบอุ่นด้วยจินเจน

💔รู้หรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ‼

สาเหตุหลักเป็นเพราะหลายๆคนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพ อีกทั้งมักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารรสจัด มีคอเลสเตอรอลสูง รวมทั้งความเครียด นอกจากนี้ โรคประจำตัวบางอย่างก็ส่งผลต่อโรคหัวใจด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและเมื่อมีอายุมากขึ้น ก็จะมีการเสื่อมสภาพของระบบอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจตามมา

หลายคนอาจมองข้ามสัญญาณเตือนจากโรคหัวใจเพราะบางครั้งอาจคิดว่าเป็นเพียงแค่อาการทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นอาการจากโรคหัวใจที่แสดงตัวมากขึ้น โดยสามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้

📌 เหนื่อยง่ายกว่าปกติ:

หลายครั้งที่เหนื่อยง่าย หอบหายใจลำบาก หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะออกแรงมากเกินไปหรืออยู่ระหว่างการออกกำลังกายโดยจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วหายไปเองแต่บางครั้งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับด้วย

📌 เจ็บแน่นหน้าอก:

ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บหน้าอกด้านซ้ายหรือทั้งสองด้าน เวลานอนราบอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือมีอาการอึดอัดบริเวณหน้าอก

📌 เป็นลมหมดสติโดยไม่มีสาเหตุ

📌 ขาหรือเท้าบวมโดยไม่มีสาเหตุ:

นอกจากอาการขาหรือเท้าบวมแล้ว ยังรวมไปถึงปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปาก มีลักษณะเขียวคล้ำซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง เพราะเลือดไหลขึ้นจากขาไปยังหัวใจได้ไม่สะดวก จนทำให้เลือดคั่งที่ขา

สำหรับความรุนแรงของโรคหัวใจและหลอดเลือดจะสอดคล้องกับอายุ ความรุนแรงของโรคหัวใจที่เป็นและโรคร่วมที่มีอยู่ ในบางรายอาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างกระทันหัน หรือป่วยหนักถึงขั้นวิกฤตได้

การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ผ่อนคลายความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

✔ การรับประทานอาหาร:

เน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและร่างกาย ลดอาหารไขมันสูงรสจัด และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันที่อิ่มตัวเช่น จากไขมันปาล์ม พร้อมกับรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไม่ติดมันหรือเนื้อปลา

✔ ลดการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

✔ ควบคุมน้ำหนักและโรคประจำตัว:

ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพราะการที่น้ำหนักตัวเกินอาจเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ หรือเกิดโรคเรื้อรังจนทำให้เกิดโรคหัวใจอีกทั้งยังจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตสูงให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

✔ ผ่อนคลายความเครียด:

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจน เช่น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงระดับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

✔ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:

การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆเนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง ทำงานได้ดี

หากใครกังวลหรือคิดว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สามารถตรวจคัดกรองด้วยการตรวจเอกซเรย์ทรวงอกและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย ตลอดจนการตรวจหาแคลเซียมหินปูนที่ผนังหลอดเลือดหัวใจและตรวจหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยเทคนิคการทำ CT Scan เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: โรงพยาบาลเวชธานี

#โรคหลอดเลือดหัวใจ

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

แก้โรคฮิต!! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวด “คอ บ่า ไหล่”

แก้โรคฮิต!! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวด “คอ บ่า ไหล่”
หรือจะเป็นผู้สูงอายุที่มีอาการนี้อยู่ ลองทำ 3 ท่านี้ รับรองดีขึ้นแน่นอนค่ะ ^^

ท่าที่ 1 กดคอก้มลงค้างไว้ แล้วเงยหน้า

ท่าที่ 2 กดศีรษะมาด้านข้าง

ท่าที่ 3 หัหน้า 45 องศา กดศีรษะลง


#ออฟฟิศซินโดรม
#ป้าเจน #จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สุขภาพดีรับปีใหม่

ในช่วงปีใหม่แบบนี้ แอดมินและป้าเจนขอถือโอกาสแบ่งปันข้อแนะนำจาก สสส. และอาจารย์ สง่า ดามาพงษ์” ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านโภชนาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ดีมากๆและทำได้จริง เพื่อที่จะช่วยปรับเปลี่ยนนิสัยการกินของคุณ ให้มีสุขภาพที่ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ขออนุญาตชวนไปดูแต่ละข้อพร้อมๆกันเลยค่ะ ^^

ที่มา: สสส.

เริ่มต้นจากลองมองย้อนกลับไปก่อน 12 เดือนที่ผ่านมาว่า สุขภาพของตัวเองเป็นอย่างไร “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นหรือไม่ ? ผอมลงหรือไม่ ? “ไปหาหมอกี่ครั้ง” เป็นหวัดกี่หน ? “ปวดท้อง” “ท้องเสีย” กี่ครั้ง ? เจ็บป่วยบ่อยหรือเปล่า ซื้อยากินหรือไม่ ? เปลืองเงินกับค่ารักษาพยาบาลไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ขอให้สำรวจสุขภาพของตัวเองก่อน เป็นอันดับแรก

ต่อมา ให้ลองสำรวจกลับไปอีกว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เราได้ “ออกกำลังกาย” เป็นประจำหรือไม่ ? ออกๆ หยุดๆ หรือไม่ได้ออกเลย เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อย่างเดียว

และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรา “กินตามใจปาก” หรือไม่ ? กินถูกหลักโภชนาการ “ครบ 5 หมู่” หรือไม่ กินรสชาติ “หวานจัด มันจัด เค็มจัด” หรือไม่ เรา “กินผักผลไม้” เพียงพอหรือไม่ ?

ลองสำรวจเพิ่มว่า เราเป็นคน “ติดหวาน” หรือไม่ ? เรากินกาแฟเย็นมากเกินไปหรือเปล่า กินน้ำอัดลม กินขนมกรุบกรอบบ่อยหรือไม่ ?

เรื่องต่อมา ขอให้สำรวจเรื่อง “อารมณ์” ว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรามีอะไรที่มากระทบจิตใจในเชิงลบ มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทำให้หงุดหงิด ทำให้กังวล ทำให้โกรธ ทำให้ไม่สบายใจ มีหลายเรื่องหรือไม่ ? แล้วเราสลัด “ความเครียด” ออกได้เร็วหรือไม่ หรือว่าเก็บมันไว้ในใจ เราสามารถขจัดออกได้กี่เรื่อง และไม่ได้กี่เรื่อง ?

ในรอบปีที่ผ่านมา “สูบบุหรี่” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ? “ดื่มสุรา” จนติดเป็นนิสัยเลยใช่หรือไม่ และได้ “พักผ่อน” เพียงพอรึเปล่า นอนถึง 6 ชั่วโมงหรือไม่ ? ทั้งหมดนี้เราต้องกลับไปดูภาพรวมตัวเองในปีที่ผ่านมา เพื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และวางแผนสู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ถ้าสำรวจแล้วพบว่า รอบปีที่ผ่านมาพฤติกรรม “แย่มาก” ไม่เคยออกกำลังกาย กินสะเปะสะปะ คุณจงเริ่มเอาวันที่ 31 ธันวาคม หรือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนชีวิตใหม่ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า สุขภาพจะย่ำแย่ลงตามอายุ ที่เพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่

ดังนั้น ขอให้เริ่มจากการระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน เริ่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ยิ่งดี เพื่อปูพื้นฐานไปสู่พฤติกรรมการกินที่ถูกต้อง ไปตลอดทั้ง 12 เดือนข้างหน้า

ช่วงปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งการกินเลี้ยง กินเค้กปีใหม่ อาหารส่วนใหญ่มักจะมีความมันจัด หวานจัดและเค็มจัด มีโปรตีนสูง ผักน้อย ดังนั้นถ้าเราจะฝึกพฤติกรรมการกิน ก็ควรจะระมัดระวัง “อาหารที่มีแคลอรี่สูง” เพราะอาจทำให้อ้วนแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวาน ดังนั้น ก่อนทานอาหารควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ให้มาก ๆ

สำหรับเทคนิคการเลือกกินอาหารในงานเลี้ยง ประกอบไปด้วย 1. “สารอาหารจะต้องครบ 5 หมู่” จะไปกินเฉพาะเนื้อสัตว์อย่างเดียวไม่ได้ อาหารทุกมื้อในช่วงงานเลี้ยงต้องครบ 5 หมู่ 2. “รสชาติของอาหาร จะต้องไม่หวานจัด มันจัด เค็มจัด” ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นเมนูอะไร คุณต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง

3. “หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ๆ ผัด ๆ” 4. “เลือกกินอาหารประเภทต้ม, แกง, อบ, นึ่ง, ย่างและปิ้ง” แต่ต้องระวังอย่าให้ไหม้เกรียม 5. “ระวังอาหารหวาน” ไม่ได้ห้ามกินแต่อย่ามากจนเกินไป กินแต่พอดี เค้กกินต่อไปแต่ชิ้นอาจจะบางลง

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ในการปูพื้นฐานเรื่องการกินให้ดีต่อสุขภาพ ในช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ คือ “เริ่มต้นการกินผักให้มากขึ้น” โดยอาจจะมาในรูปของผักสลัด ผักที่อยู่ในแกง หรือผักที่อยู่ในน้ำพริก อยู่ในส้มตำ หรืออยู่ในยำผัก หรือเมนูอะไรก็แล้วแต่ “อาหารปีใหม่ต้องมีผักให้ได้” และ “ฝึกตัวเองกินผลไม้ หลังจากการกินข้าว” ไม่ใช่กินข้าวเสร็จแล้วไปหาขนมหวานกินต่อ ดังนั้น ควรมีผลไม้วางอยู่บนโต๊ะงานเลี้ยงด้วยเสมอ

ของขวัญที่เราควรมอบให้กับตัวเอง ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าหรือของขวัญที่มีราคาแพง แต่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลัก “3 อ. 2 ส. และ 1 พ.” คือ อาหาร, อารมณ์, ออกกำลังกาย, ไม่ดื่มสุรา, ไม่สูบบุหรี่ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้ดีขึ้น เป็นของขวัญแห่งชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินตรา

ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ คุณต้องเปลี่ยน Mindset หรือ ทัศนคติมุมมองใหม่ เพราะถ้าไม่เปลี่ยน Mindset เสียก่อนอย่างอื่นคุณก็จะเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งการที่คุณจะเปลี่ยน Mindset ได้คุณต้องมีแรงจูงใจ และเป็นแรงจูงใจที่มีพลังมากพอ

แรงจูงใจที่ว่านี้ อาจจะมาจากการสำรวจสุขภาพตัวเอง ในปีที่ผ่านมา เช่น น้ำหนักตัวที่มากขึ้น ๆ ถ้าปล่อยเอาไว้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง พอคุณอ้วนมากเข้า โรคเบาหวาน, โรคความดัน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง ก็ตามมา แล้วคุณจะทำอย่างไร สุขภาพคุณจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสุขภาพ จริงๆ ขอให้ทำเพื่อคนอื่นดีกว่า เช่น ถ้าคุณมีแม่ ให้เปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่ เพราะลองคิดดูว่า ถ้าคุณอายุ 30 ปี แม่อายุ 70 ปี แต่คุณป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ปากเบี้ยว กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แม่คุณต้องมาคอยดูแล คุณจะทำอย่างไร หรือถ้าคุณแต่งงานแล้ว มีลูกตัวเล็ก ๆ คุณก็ลองตั้งเป้าหมายเปลี่ยนตัวเองเพื่อลูก จะได้อยู่เลี้ยงดูเขาเติบโต

“การเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพถ้าไม่มีแรงจูงใจมากพอ มันจะเปลี่ยนไม่ได้ ที่สำคัญอย่าตั้งเป้าหมายเปลี่ยนเพื่อตัวเอง เช่น ลดน้ำหนักเพื่อตัวเองจะได้หุ่นดี การตั้งเป้าหมายเช่นนี้ มักจะล้มเลิกกลางคัน เพราะแรงจูงใจไม่มากพอ ดังนั้นขอให้ลองทบทวนหาข้อบกพร่องในปีที่ผ่านมา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยใช้วันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”