8 วิธี แก้อาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง หรือ Morning sickness เป็นอาการหรือความรู้สึกไม่สบายที่เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 80-90% ส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียมากกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งอาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อมีอายุครรภ์มากกว่า 3 เดือน  สำหรับสาเหตุของอาการแพ้ท้องนั้นเป็นผลมาจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนที่ชื่อว่า “HCG” (Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้คุณแม่เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้คุณแม่ลดอาการแพ้ท้องมาฝากกันค่ะ


1. ดื่มน้ำขิง
เมื่อรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนให้จิบน้ำอุ่นหรือดื่มน้ำขิงอุ่นๆ (ควรเป็นขิงแท้ 100% ไม่ผสมน้ำตาล) เพราะขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก และอาการคลื่นไส้ได้

2. แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ
คุณแม่ควรทานอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง อาจแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ ประมาณ 5-6 มื้อต่อวัน และเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย เป็นมิตรกับกระเพาะอาหาร เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปผักต่างๆ เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้เต็มที่ และช่วยลดอาการแน่นท้องของคุณแม่ได้อีกด้วย

3. ผลไม้ช่วยได้
มีผลไม้หลายชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของคุณแม่ได้ เช่น ส้ม สับปะรด ช่วยในการย่อยอาหารและรักษาอาการคลื่นไส้ และ กล้วย ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดและบรรเทาอาการแพ้ท้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอดีไม่มากจนเกินไปค่ะ

4. ฝึกสมาธิ
ความเครียด เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง ดังนั้นการนั่งสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียด และบรรเทาอาการแพ้ท้องให้ดีขึ้นได้ค่ะ นอกจากหากฝึกสมาธิเป็นประจำจะทำให้คุณแม่อารมณ์ดีซึ่งก็จะส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์ด้วย

5. ดื่มน้ำมะนาว
ทานหรือดื่มอะไรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว อาจจะฝานมะนาวแผ่นบางๆ ลงไปในน้ำชาหรือผสมน้ำแร่กับน้ำมะนาวดื่ม ก็ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้มากค่ะ


6. ดื่มน้ำเยอะๆ
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญของหญิงตั้งครรภ์ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ แต่คุณแม่ต้องค่อยๆ จิบนะคะ เพราะถ้าดื่มคราวละมากๆ ก็จะเป็นผลเสียทำให้คลื่นไส้ได้ค่ะ

7. เดินเล่นหรือเดินช้อปปิ้ง
มีบทความตีพิมพ์จากงานวิจัยของชาวอเมริกันบทความหนึ่งพบว่า การเดินไปเดินมาสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ รวมไปถึงอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ด้วย เช่น อาการจุกเสียด นอกจากจะช่วยคุณแม่ลดอาการแพ้ท้องแล้ว การออกไปเดินช้อปปิ้งยังทำให้คุณแม่ลดอาการเครียดได้อีกด้วยค่ะ


8. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ถ้าคุณแม่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีอาการอ่อนเพลีย อาจจะทำให้อาการแพ้ท้องนั้นแย่ขึ้น ดังนั้นหากรู้สึกเหนื่อย หรือมีอาการแพ้ท้อง อาจจะต้องพักจากกิจกรรมที่ทำอยู่ หรือหาเวลางีบระหว่างวันก็จะช่วยได้ค่ะ

แต่หากพบว่า มีอาการแพ้ท้องที่หนักกว่านี้ เช่น อาเจียนบ่อย จนคออักเสบ และพบว่าตัวเองไม่สามารถกินอะไรได้เลย ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วนนะคะ

ผู้สูงอายุนอนไม่หลับ ทำยังไงดี?

อาการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ มักมีสาเหตุมาจากสมองทำงานไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอาการนอนไม่หลับนี้หากสะสมนานเข้าจะอันตรายมาก เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ร่างกายทรุดโทรม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือส่งผลต่อด้านสุขภาพ จนเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาได้ ยิ่งกว่านั้น อาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการเตือนของโรคอื่น ๆ ทางสมองได้อีกด้วย

การนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ มาจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ

1. การเปลี่ยนแปลงของอายุที่มากขึ้น โดยปกติเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น สมองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ส่งผลกับการนอนของผู้สูงอายุ คือ ระยะเวลาของการนอนตอนกลางคืนจะลดลง ใช้เวลานานขึ้นหลังจากเข้านอนเพื่อที่จะหลับ ช่วงระยะที่หลับแบบตื้น (ตอนที่กำลังเคลิ้ม แต่ยังไม่หลับสนิท) จะยาวขึ้น ขณะที่ช่วงระยะที่หลับสนิทจริงๆ จะลดลง มีการตื่นขึ้นบ่อยๆ กลางดึก อย่างไรก็ตามแม้ผู้สูงอายุจะมีสุขภาพดีทั้งกายและใจสมวัย ก็อาจรู้สึกว่าตัวเองนอนน้อยลง หรือคิดไปว่านอนไม่หลับ แต่มีข้อที่น่าสังเกต คือ ผู้ป่วยกลุ่มนี้แม้จะดูเหมือนว่านอนไม่หลับแต่ช่วงกลางวันมักจะไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด

2. มีโรคซ่อนอยู่ ยาบางประเภทโดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ในระบบประสาทส่วนกลาง หรือสมอง ทำให้ผู้สูงอายุมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ เช่น ใช้ยานอนหลับนานๆ ยารักษาอาการสั่น เคลื่อนไหวช้าในโรคพาร์กินสัน หรือบางครั้งอาจเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคอื่นที่ไม่เกี่ยวกับโรคทางสมอง เช่น แอลกอฮอล์ในยาน้ำแก้ไอ หรือ คาเฟอีนที่ผสมอยู่ในยารักษาโรคหวัด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุหยุดการใช้ยาเหล่านี้ อาการนอนไม่หลับก็จะหายไปเอง นอกจากนั้น ผู้สูงอายุที่มีโรคใดก็ตามที่ทำให้ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน ก็จะมีผลต่อการนอนด้วย เช่น ผู้เป็นเบาหวาน โรคต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุชาย โรคไตวายเรื้อรัง หรือแม้แต่การใช้ยาขับปัสสาวะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจวาย ก็ทำให้มีปัสสาวะตอนกลางคืนได้บ่อย หรือผู้สูงอายุที่เริ่มมีสมองเสื่อมในระยะแรกก็มักจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือภาวะซึมเศร้าก็เป็นสาเหตุของการนอนยากในผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน

ข้อปฏิบัติที่ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับในผู้สูง

  • พยายามหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หรือจำกัดเวลาการนอนกลางวัน ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมงในช่วงบ่าย
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โดยเฉพาะการทานในเวลาเย็น เป็นต้น
  • ไม่ควรดื่มน้ำในช่วง 4-5 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเข้านอน ถ้ามีปัญหาปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ
  • เพิ่มกิจกรรม หรือการออกกำลังกาย ในช่วงเวลากลางวันให้มากขึ้น
  • ถ้าผู้สูงอายุไม่มีอาการง่วงนอนเมื่อถึงเวลาเข้านอน และไม่สามารถนอนหลับได้ ก็ควรลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ดีกว่าที่จะนอนกลิ้งไปมาบนเตียง
  • กำหนดเวลาอาหารมื้อเย็นให้คงที่ สม่ำเสมอ และควรจะเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง
  • เมื่อเทียบกับมื้ออื่นๆ
  • พยายามจัดสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนให้เงียบ และมืดพอสมควร ไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป
  • ฝึกการทำสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ

หากลองทำตามวิธีข้างต้นแล้ว อาการนอนไม่หลับยังไม่ดีขึ้น ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุอื่นๆเพื่อทำการรักษาต่อไป

ที่มา: โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน

ด้วยความปรารถนาดี

จินเจน
ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

8 เคล็ดลับ!! รับมือกับ “ความเครียด”

“ความเครียด” เป็นหนึ่งสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ทั้งสุขภาพของร่างกาย และสุขภาพของจิตใจ

หากเราเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในภาวะเครียด หรือกำลังมีเรื่องกังวลทำให้ทุกข์ใจอยู่ ควรหาวิธีผ่อนคลาย ลดความเครียดเหล่านั้นลง เพื่อสร้างกำลังใจ ให้กลับมาสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างมีสติได้ต่อไป

วันนี้เรามี 8 เคล็ดลับ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อรับมือกับความเครียดมาฝากกันค่ะ

1. หายใจลึกๆ เป็นขั้นตอนแรกๆที่แนะนำให้ทำ เพราะการหายใจเข้าลึกเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียกสติกลับมาให้อยู่กับลมหายใจ และตั้งรับกับปัญหาได้ขึ้น
2. ยืดเส้นยืดสายเบาๆ อีกหนึ่งวิธีลดความตึงเครียดที่หลายคนใช้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากปัญหาที่กำลังคิดวนอยู่ ไปอยู่กับเรื่องอื่น โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ที่ได้ออกแรง เรียกเหงื่อ ซึ่งจะช่วยให้สารอะดรีนาลีนหลั่งมามากขึ้น ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น และพร้อมกลับมาจัดการกับปัญหาต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
3. จิบน้ำหรือน้ำขิงอุ่นๆ ว่ากันว่าหนึ่งในสรรพคุณของน้ำขิง ก็คือช่วยในการผ่อนคลาย อุ่นท้อง ปรับสมดุลในร่างกาย เมื่อสมองและร่างกายผ่อนคลายขึ้น ก็เป็นการช่วยลดความเครียดลงได้นั่นเอง
4. ฟังเพลง / ฮัมเพลงที่ชอบ  ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับลดความเครียด ด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงที่เราชอบให้เพลินๆไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหากันใหม่ แบบนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
5. หลับตาสักพัก หรือจริงๆก็งีบสักพักก็ได้นะคะ ลองปิดรับข้อมูลจากทุกช่องทางประสาทสัมผัสสักครู่ ก็จะเป็นการพักจากปัญหา ชาร์จพลัง แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่กันค่ะ
6. นึกถึงเรื่องขำ ๆ ที่ทำให้หัวเราะได้  ข้อนี้ถ้าใครนึกเรื่องขำๆไม่ค่อยออก ก็แนะนำลองเปิดดูคลิปตลก หรือคลิปที่เคยทำให้เราหัวเราะได้มาดูอีกที ได้หัวเราะบ้างในช่วงที่เครียดๆ ก
ช่วยผ่อนคลายได้ดีเหมือนกันนะคะ
7. คุยกับใครสักคนที่ไว้ใจ  เรื่องเครียดบางเรื่อง เราอาจจะแก้ปัญหาไม่ออกด้วยตัวเราเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ แต่การได้พูดคุย ได้ระบายกับใครสักคนที่เราไว้ใจ ก็สามารถช่วยให้เรื่องที่อัดแน่นอยู่ในความคิดตอนนั้น ค่อยคลี่คลายออกมาก็ได้ และบางที เราก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ หรือทางออกของปัญหาจากคนที่เราคุยด้วยก็ได้นะคะ
8. ทำใจยอมรับแล้วมันจะผ่านไป  เคล็ดลับข้อสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าเรากำลังแบกรับเรื่องอะไรอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีความเครียดมากน้อยเพียงใด ให้เข้าใจว่า มันก็จะมีทางออกของมันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องตั้งสติ ไม่คิดอะไรที่ไม่ดี ที่จะเป็นการสร้างปัญหาที่มากขึ้น แล้วเวลาก็จะทำให้เรื่องนั้นๆมันก็จะผ่านไปได้

ขอให้อดทน คิดดี ทำดีเอาไว้ แล้วเราจะผ่านเรื่องๆร้ายๆไปด้วยกันะคะ

 

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ประโยชน์ของ “ขิง” ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ระบุว่า ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol, Shogoal และ Paradoal โดยพบว่า ขิงสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ สารในขิงบางตัว ยังทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ขิงก็ยังเป็นสมุนไพรที่ดีและมีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ โดยฤทธิ์ร้อนของขิงจะไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังมีบางรายงานการศึกษายังระบุเพิ่มเติมว่าขิงสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย ในทางการแพทย์แผนไทยฤทธิ์ร้อนจากขิงสามารถช่วยลดการกำเริบของเสมหะและลม ซึ่งจะพบในโรคหวัด ไอ หอบหืด ตำรับน้ำขิงแก้หวัดแก้ไอจึงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย

เราสามารถนำขิงมาต้มน้ำ ทำเป็นน้ำขิงสำหรับดื่ม หรือ อาจจะนำขิงไปผัดคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น ปลาผัดขิง ก็จะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น

ในปัจจุบัน เพื่อลดความยุ่งยากในการหาขิงสดมาปรุงอาหาร หรือต้มดื่ม และปัญหาของการเก็บรักษาขิงสดไว้เป็นระยะเวลานานไม่ได้ จึงมีผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปมาทดแทน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปที่สกัดจากขิงธรรมชาติแท้ 100% รวมถึงมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อความมั่นใจถึงคุณภาพและสรรพคุณของขิงที่ยังคงไว้อย่างครบถ้วน

ผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปตราจินเจนอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 40 ปี  ซื้อสินค้าจินเจนทางออนไลน์ได้ที่ https://shop.gingen.com

ขิงมีฤทธิ์ร้อน กรดไหลย้อนขิงก็ช่วยได้

โรค “กรดไหลย้อน” จะมีอาการแสบร้อนกลางอก ใครเป็นก็จะรู้ว่ามันทรมานมากเลย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า หากมีอาการแสบร้อนก็คงห้ามกินของที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไปอีก แต่ถ้ารู้จักกับสรรพคุณของสมุนไหรฤทธิ์ร้อนอย่าง “ขิง” แล้ว คุณจะเปลี่ยนความคิดแน่นอน

ก่อนอื่น เรามาดูว่าทำไมอาการกรดไหลย้อนถึงทำให้เรารู้สึก “แสบร้อนท้อง หรือหน้าอก” นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังมีแผลที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และถ้าไม่รีบรักษาแผลก่อนกรดไหลย้อน ก็จะยิ่งหายช้ามาก ร่างกายจะไม่หลั่งกรดออกมาเต็มที่เพราะกลัวเจ็บ พอเป็นแบบนี้ การย่อยก็จะแย่ อาการท้องอืดก็จะตามมา จนเป็นโรคเรื้อรังได้เลย

ซึ่งเราสามารถรักษาแผลที่ว่านี้ได้ด้วย “ขิง” นั่นเอง

คุณสมบัติของขิงที่ช่วยกรดไหลย้อน
– ขิงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของแผลได้ดีทำให้ร่างกายไม่กลัวการหลั่งกรด
– ขิงมีเอ็นไซม์ซิงจิเบนช่วยย่อยได้ดี ลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหาร
– ขิงลดการเกิดแก๊ส ท้องอืด ช่วยขับลมได้ดี
– ขิงช่วยให้กระเพาะบีบอาหารไปที่ลำไส้เล็กได้เร็วขึ้น ลดอาการกำเริบของกรดไหลย้อน
– จิบน้ำขิงทั้งวัน เพิ่มการดื่มน้ำทีละนิดทั้งวัน ยังกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

ด้วยความห่วงใย

จินเจน


สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

ขอบคุณข้อมูลจาก hashicenter.com

ลดความเครียดด้วย “น้ำขิง”

จากหลายผลวิจัยบอกว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ แค่เครียดก็แย่แล้วยังจะต้องเจ็บป่วยเพราะความเครียดที่สะสมนานๆก็คงไม่ไหวนะคะ

การรับมือความเครียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลง หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย แต่ วันนี้ขอเสนออีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆสำหรับลดความเครียดมาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือ การดื่มน้ำขิง นั่นเเอง 

ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง

ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่ หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกันนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

6 เคล็ดลับ สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

สำหรับหลายคน บ้านเป็นที่ชาร์จพลังกายและพลังใจอย่างดี แต่บ้านก็ไม่ได้หมายถึงสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคนที่อยู่ที่บ้านหรือครอบครัวของเราด้วย

ครอบครัวที่แบ่งปันความรักและความห่วงใยให้กันและกันนั้น จะทำให้เกิดความสุขขึ้นในบ้าน และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากรู้เราวิธีสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น  เรามาดู 6 เคล็ดลับ ที่จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวให้รักและใกล้ชิดกันมากขึ้นกันค่ะ

1. อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลายครอบครัวมักละเลยตรงจุดนี้ จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวระดับรุนแรง แนะนำให้หาเวลาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มากขึ้น จัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนในครอบครัวได้มีส่วนร่วมในทุกๆ สัปดาห์ บ้านจะน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นกองเลย รับรองได้

2. แสดงออกถึงความรัก
หลายคนอาย เขิน และไม่กล้าบอกรักให้คนในครอบครัวฟัง หรือ หลายคนเลือกไม่กอดกัน เพราะอ้างว่าแสดงออกไม่เป็น แต่รู้หรือไม่การที่ได้กอดและบอกรักคนในครอบครัวนั้น มันดีต่อใจและช่วยกระตุ้นความสุขให้กับคนที่ได้รับแรงกอดและคำพูดเหล่านั้นอย่างแท้จริง

3. สื่อสารบ่อยๆ กระชับกความสัมพันธ์
สื่อสารในที่นี้ ไม่ใช่การเถียงหรือตะโกนใส่กัน แต่คือการพูดด้วยภาษาที่นุ่มนวล อบอุ่น และแสดงออกถึงความห่วงใย เช่น กลับมาเหนื่อยๆ กินน้ำก่อนไหม ไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินข้าวกัน โดยความจริงใจจากคำพูดที่มอบให้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข และลดความตึงเครียดภายในที่เกิดขึ้นได้

4. วันสำคัญอย่าลืมกัน
มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า วันสำคัญของคนในครอบครัว เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเทศกาลต่างๆ เป็นวันที่เชื่อมร้อยความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การจัดงานเล็กๆ ภายในบ้าน การไปกินข้าวพร้อมกัน หรือการมอบขวัญสุดพิเศษให้คนในครอบครัวที่คุณใส่ใจ เป็นการผูกมัดสายใยความสัมพันธ์ให้กลมเกลียวมากขึ้น

5. อย่าเพ่งโทษกัน
การอธิบายด้วยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ครอบครัวฟังและเข้าใจกันมากขึ้น และยามเกิดปัญหา อย่านำพาตัวเองไปติดกับดักอารมณ์ ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการกระทำหรือคำพูด เพราะมันจะทำให้เกิดภาพลบ และส่งผลไม่ดีลงต่อชีวิตครอบครัวของคุณเอง เวลาเกิดปัญหา อย่าเกี่ยงกันว่าใครผิด ใครถูก เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ให้แก้ไขและหาทางออกร่วมกัน สื่อสารกันอย่างละมุนละม่อม โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นเด็ก ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

6. ความเสมอภาคคือคุณภาพ
การพิจารณาคนในครอบครัวแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกข้างหรือโน้มเอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพราะการไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้คนในครอบครัวทุกคนเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฟังและยอมรับความคิดเห็นระหว่างกันมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Bewellstyle.com

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

การเลี้ยงสัตว์ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?

สัตว์เลี้ยงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ลองใช้เวลาซัก 2-3 นาที นั่งดูตู้ปลากับสุนัขหรือแมวของคุณดู ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย และมันสามารถช่วยลดความเครียดของคุณลงได้

ช่วยลดความดันโลหิต

คนที่มีปัญหาความดันเลือดสูง อาจจะกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่รู้ไหมว่าการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความดันเลือดได้นะ จากการศึกษาพบว่าในคู่สามีภรรยาทั้งหมด 240 คู่นั้น คู่สามีภรรยาที่เลี้ยงสัตว์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจและระดับของความดันโลหิตในภาวะปกติต่ำกว่าคู่ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และมีอีกการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อได้รับสัตว์มาเลี้ยงแล้ว ค่าคามดันโลหิตของพวกเขากลับลดลง

ช่วยให้ระดับคลอเรสเตอรอลต่ำลง

คนส่วนใหญ่มักจะควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลด้วยการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก และสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยแล้ว การควบคุมระดับคลอเรสเตอรอสก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น มีผลวิจัยออกมาว่าผู้คนที่เลี้ยงสัตว์จะมีระดับของคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยง แต่เหตุผลนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นไปได้ว่ากิจกรรมในการใช้ชีวิตของผู้คนที่เลี้ยงสัตว์นั้นมีมากกว่า เช่นต้องพาสัตว์เลี้ยงไปจูงเดิน หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

ทำให้หัวใจแข็งแรง

จากการศึกษาใน 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขหรือแมว มีอัตราการตายด้วยภาวะหัวใจวายมากกว่าคนที่เลี้ยงถึง 40%

ช่วยลดอาการซึมเศร้า

คำกล่าวที่ว่าสุนัขหรือแมวรักคุณโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น เป็นจริงเสมอ และพวกเขายังสามารถช่วยปลอบคุณเวลาคุณรู้สึกซึมเศร้าได้อีกด้วย เชื่อไหมว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถฟังคุณพูดระบายความรู้สึกได้เป็นวันๆ เลยหล่ะ พวกเขาเป็นนักฟังที่ดี และจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ซึ่งบางทีในเวลาที่คุณแปรงขนให้กับเขา เล่นกับเขา หรือพาเขาไปจูงเดิน คุณสามารถพูดระบายสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

กระตุ้นการออกกำลังกายของคุณ

การเดินวันละ 30 นาทีของคุณจะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เพราะการจูงสุนัขเดิน 15 นาทีตอนเช้าและตอนเย็น จะทำให้คุณสนุกกับการเดินมากขึ้น หรือแม้แต่การเล่นกับเจ้าตูบที่สนามหน้าบ้าน ก็จะทำให้คุณได้มีกิจกรรมออกกำลังกายมากขึ้นเช่นกัน

เป็นคู่หูในการออกกำลังกายชั้นยอด

เคยไหม? เวลาเราอยากออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานในตอนเช้า แล้วชวนคนในบ้านไปด้วย เรามักจะได้รับคำปฏิเสธอยู่เสมอ แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นไม่เคยบ่นหรือปฏิเสธเวลาคุณชวนพวกมัน สัตว์เลี้ยงพร้อมจะไปเดินหรือเล่นกับคุณเสมอ

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

 

ให้เปลี่ยนวิธีกิน เมื่อเข้าวัย 50+

การมีสุขภาพดีในทุกช่วงวัย ส่วนหนึ่งวัดจากการมีปริมาณมวลกล้ามเนื้อที่เพียงพอได้ ช่วงวัยกลางคนหรือวัยทํางาน (อายุ 25-64 ปี) มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มหายไปอย่างช้าๆ ตั้งแต่อายุ 35 ปี และรวดเร็วขึ้นเมื่อย่างเข้าอายุ 70 ปี โดยเฉพาะเพศหญิง กล้ามเนื้อจะหายอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจําเดือน ดังนั้นหากไม่ได้ออกกําลังกายหรือทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุก็จะทําให้มีปัญหาสุขภาพจากมวลกล้ามเนื้อลดลงได้

.

ความชราทําให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ สร้างน้อยลง เซลล์ในร่างกายทํางานได้ช้า ลง ระบบประสาทสั่งการแย่ลง ส่งผลให้การขยับร่างกายถดถอยลง ช้าลง เดินไม่มั่นคง อ่อนเพลียง่าย หกล้มง่าย หรือไม่มีแรงขยับ ตัว นําไปสู่ภาวะการนอนติดเตียงในที่สุด

ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและชะลอการหายไปของกล้ามเนื้อ ทําให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรง ฟิต และสุขภาพดีใกล้เคียงกับช่วงวัยกลางคนได้ ด้วยการทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ เน้นทานโปรตีนที่เพียงพอ ร่วมกับการขยับร่างกายเพิ่มหรือออกกําลังที่มีการเกร็งกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวไม่เร็วมาก เช่น จี้กง โยคะ ไทเก๊ก การเล่นเวท หรือ ยางยืด ปั่นจักรยาน การเดินปกติ หรือเดินในน้ำ เป็นต้น

.

โปรตีน ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่มีโรคประจําตัวรุนแรงนั้น ไม่ได้ต่างจากวัยกลางคน ที่ความต้องการโปรตีนจะสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ โดยน้ำหนักตัวทุกๆ 10 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 3-4 ช้อนโต๊ะต่อวัน เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรทานโปรตีน 5×3 = 15-20 ช้อนโต๊ะต่อวัน เลือกโปรตีนที่เคี้ยวง่ายหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ไข่ตุ๋น เนื้อปลา หมูสับหมักนิ่มหรือเนื้อสัตว์ตุ๋นจนนิ่ม นม เต้าหู้ เลือดหมู หรือไก่ เป็นต้น โดยสลับทานทั้งเนื้อสัตว์สีแดงและสีขาว เพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ

.

แป้ง ควรทานมื้อละ 3-4 ทัพพี เลือกประเภทนิ่ม เช่น ข้าวต้ม ข้าวหุงนิ่มๆ ขนมปังนิ่มๆ ฟักทอง มันนึงเนื้อนิ่มๆ หรือวุ้นเส้น เป็นต้น

ผักผลไม้ การกินให้หลากหลายจะช่วยให้ระบบร่างกายทํางานได้ดีขึ้น และป้องกันท้องผูก ทานผักมื้อละ 1-2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ฝ่ามือ โดยเลือกแบบที่นิ่มหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ผักที่ต้มหรือปรุงจนนิ่ม ส้ม มะละกอ แก้วมังกร แตงโม มะม่วงสุก กล้วยสุก ผักหรือผลไม้ปั่นพร้อมกาก เป็นต้น

.

ทานน้ำมันและน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซีอิ๊วไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอีกหลายๆ โรคในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ การดื่มนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็สําคัญ (นมถั่วเหลืองแนะนําประเภท UHT เนื่องจากมีการเติมแคลเซียมให้เท่าแคลเซียมในนมวัว) โดยทานวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ และการออกไปโดนแดดบ้างในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดีที่เพียงพอขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช

.

.

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สาร GINGEROL ในขิง ดีต่อสุขภาพยังไง?

 ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารหลายชนิด  เครื่องหอมต่าง ๆ และใช้ผสมในยาเพื่อบรรเทาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ เช่น แก้ท้องอืด, ขับลม, แก้คลื่นไส้อาเจียน, ใช้ทำยาแก้คันหรือลดอาการฟกช้ำต่าง ๆ  ในส่วนน้ำมันของขิงมีจะรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนและมีสรรพคุณรักษาต่าง ๆ เช่นกัน ดังนั้นขิงจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าขิงมีฤทธิ์ในการรักษาอาการต่าง ๆ  ในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการวิเคราะห์ว่าภายในขิงนั้นประกอบด้วยสารสำคัญอะไรบ้าง

        เมื่อนำขิงมาสกัดจะพบว่าสารสกัดขิงประกอบด้วย Gingerol ซึ่งเป็นสาร Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ในกลุ่มของสารฟีนอล ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นรสเผ็ดฉุนและมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและยับยั้งอาการปวดได้ สารกลุ่มแอนโทไซยานินมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), สารต้านอาการอักเสบ และรวมถึงสารต้านมะเร็งด้วย ดังนั้นสารกลุ่มแอนโทไซยานินจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ และถ้าหากศึกษาสาร Gingerol ในขิงซึ่งเป็นหนึ่งในสารกลุ่มแอนโทไซยานินแล้ว ก็จะพบว่า Gingerol นั้นก็มีประโยชน์ทางเภสัชศาสตร์ต่อร่างกายเช่นกัน เช่น

ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง – สาร Gingerol มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic) ต่อเซลล์มะเร็ง โดยนักวิจัยได้ทดลองเลี้ยงเซลล์มะเร็ง 3 ชนิดและหยดสาร Gingerol ที่ระดับต่าง ๆ จึงพบว่าเซลล์มะเร็งเหล่านั้นลดลงหรือถูกทำลายไป ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าสารสกัด gingerol จะนำมาพัฒนาต่อเป็นยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้

เป็นสารป้องกันการก่อมะเร็ง (chemo-preventive agents) – สาร Gingerol ในขิงสามารถลดการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอดได้ นอกจากนี้ยังไปลดอาการอักเสบเรื้อรัง รวมถึงต้านการสร้างเส้นเลือดใหม่ในเซลล์มะเร็ง (Angiogenesis) ได้

ช่วยการทำงานของไต – สาร Gingerol สามารถช่วยส่งเสริมให้ไตทำงานได้ดีขึ้น โดยสาร Gingerol จะไปลด Lipid peroxidation ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจเป็นอันตรายต่อไตได้

        นอกจากสาร Gingerol ในกลุ่ม Anthocyanin ของขิงนั้น ในขิงยังมีสาระสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ หรืออาการเมารถได้ โดยสาร gingerol และ Shogaol ของขิงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำตาลและเพื่อความตึงตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร  จากการทดลองและงานวิจัยมากมายในด้านเภสัชศาสตร์ของสารสกัดขิง ทั้ง Gingerol และ Shogaol  นั้นจะเห็นได้ว่าสารสกัดขิงนั้นมีประโยชน์มากมายและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้สารสกัดขิงยังเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่มีสารพิษเจือปน จึงสามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ในระยะยาว

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com