5 สุดยอดสมุนไพร “แก้ไอ”

อาการไอ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ระคายเคืองทางเดินหายใจออกไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นภูมิแพ้ เช่น แพ้ฝุ่น ควัน สารระคายเคืองต่างๆ หรืออาจเกิดจากการอักเสบและติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ 

ซึ่งวิธีรักษาอาการไอนั้น นอกจากรักษาตามแนวแพทย์แผนปัจจุบัน คุณอาจเลือกใช้วิธีดูแลตนเองด้วย 5 สมุนไพรที่หาได้ใกล้ตัวต่อไปนี้ 

1. ขิง

เป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมาย ผู้คนมักนำเหง้าขิงมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นยา เหง้าขิงมีรสเผ็ดหวาน เหมาะสำหรับนำมาใช้บรรเทา รักษาอาการไอ เจ็บคอ

เพราะในขิงนั้นมีสารสำคัญซึ่งอยู่ในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย เช่น จินเจอรอล (Gingerol) ซิงเจอโรน (Zingerone) โชเกล (Shogoal) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นเหียน แก้อาเจียน แก้ไอ และช่วยขับเสมหะได้ดี 

วิธีใช้: นำเหง้าแก่สด 5 กรัม หรือประมาณ 2 หัวแม่มือ ตำแล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย หรือใช้เหง้าขิงมาฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

นอกจากวิธีดังกล่าว ปัจจุบันยังมีขิงผง หรือขิงสำเร็จรูป ที่สามารถนำมาชงดื่มได้เลย แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีน้ำตาลในปริมาณน้อย

2. ผลมะแว้ง

มีรสขม สารสำคัญที่พบคือ อัลคาลอยด์ (Alkaloid) โซลาโซดีน (Solasodine) และโซลานีน (Solanine) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท และระบบหายใจ จึงช่วยบรรเทาอาการไอ 

นอกจากนี้ ยังมีสารลิกนิน (Lignin) และซาโปนิน (Saponin) ที่ช่วยลดการอักเสบ ละลาย และขับเสมหะได้ดี

วิธีใช้: ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมจะใช้มะแว้งสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาด นำมาเคี้ยวและอมไว้ หรือใช้ผลแก่สด 5-10 ผล นำมาโขลกพอแหลก คั้นน้ำ ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ หรือจิบเวลาที่ไอ

ในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบให้รับประทานได้ง่ายขึ้น คือ ยาอมมะแว้ง ที่มีรสชาติดี ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการไอ ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

3. มะนาว

เป็นพืชที่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ เพิ่มความเปรี้ยวให้อาการประเภทยำ ต้มยำต่างๆ 

นอกจากนี้ น้ำมะนาวยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เนื่องจากในน้ำมะนาวมีกรดอินทรีย์หลายชนิดจึงมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลาย ทำให้ชุ่มคอ จึงช่วยลดอาการไอ กัดเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน 

วิธีใช้: ทำได้หลากหลายแนวทาง เช่น

  • ใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้มะนาวฝานบางๆ จิ้มเกลือรับประทานเวลามีอาการ 
  • ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำมาผสมเกลือ จิบบ่อยๆ
  • นำเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ

4. มะขามป้อม

มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะ รับประทานเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้หวัด แก้ไอ กระตุ้นน้ำลาย ช่วยให้ชุ่มคอ ละลายเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ

วิธีใช้: ใช้เนื้อผลแก่สด ครั้งละประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยว รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ผลสดฝนกับน้ำแทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดจิ้มเกลือรับประทาน

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาจากสมุนไพร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ซึ่งมียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม ใช้จิบเมื่อมีอาการไอทุก 4 ชั่วโมง 

อย่างไรก็ตาม ยาแก้ไอผสมมะขามป้อมนั้นห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำตาล นอกจากนี้ควรระวังการใช้มะขามป้อมในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

5. ฟ้าทะลายโจร

มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) และอนุพันธ์ ซึ่งมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอ ป้องกันและบรรเทาหวัด ลดการอักเสบ

วิธีใช้: ใช้ใบฟ้าทะลายโจรสดหรือแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ ใส่ในแก้ว เติมน้ำร้อนแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วก็นำมารินดื่ม 

เวลาที่เหมาะสำหรับดื่มน้ำสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ ก่อนอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หากรับประทานแบบแคปซูล มีวิธีรับประทานตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานครั้งละ 3-6 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง บรรเทาอาการหวัด 
  • รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล (แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน และหากรับประทานแล้วอย่างน้อย 3 วัน อาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง และควรระวังในการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และห้ามใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับแก้เจ็บคอในกรณีต่อไปนี้

  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A)
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคไตอักเสบเนื่องจากเคยติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส กลุ่มเอ
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease: RHD)
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น

อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ มีน้ำมูก หรืออาการต่างๆ ที่เกิดจากหวัด สามารถดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นได้ ด้วยการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย จิบน้ำอุ่น และรับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ หรือรักษา และป้องกันหวัดดังที่กล่าวมาข้างต้น 

แต่นอกเหนือจากนั้น คุณควรสังเกตอาการตนเอง หากรับประทานยาสมุนไพรแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจ วินิจฉัยโรคอย่างแน่ชัด เพื่อให้รักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือโรคที่รุนแรงที่อาจเกิดตามมา

ที่มา: honestdoc
ภาพจาก: freepik

 

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 วิธี เตรียมตัวแก่แบบเก๋าๆ!

ใครหลายคนอาจจะไม่อยากแก่ เพราะกังวลว่าแก่แล้วร่างกายก็ทรุดโทรมมีแต่โรคมาถามหาเยี่ยมเยือน รวมถึงเรี่ยวแรงที่ถดถอย ทำให้ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับ 5 ข้อนี้ จะทำให้คุณลดความกังวลต่างๆ และกลายเป็น “คนแก่แบบมีคุณภาพ”

แล้วถ้าอยากแก่อย่างมีคุณภาพ ต้องทำอย่างไร?

1. เตรียมความคิดและจิตใจของคุณ
 ก่อนอื่นต้องเริ่มที่ความคิดและจิตใจก่อน เพราะคนสูงวัยจำนวนมาก รู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ค่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้สูงอายุต้องคิดให้ได้ก่อนว่า ตนเองมีคุณค่า มีความรู้ และประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวอันโชกโชน ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตสะสมมา การนำความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ มาค้นหาและทำอะไรสักอย่าง แม้จะดูไม่มากมายนัก แต่ก็สามารถช่วยสร้างความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาได้

2. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดใหม่ ๆ ปรับตัวให้อยู่กับยุคปัจจุบัน และทำความเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้การใช้ชีวิตร่วมกับคนหนุ่มสาว ของผู้สูงอายุง่ายขึ้นมาก เพราะสามารถพูดคุยกันแล้วเข้าใจตรงกันได้ ไม่ใช่คิดกันไปคนละทาง เข้าใจกันไปคนละอย่าง

3. เตรียมพร้อมด้านสุขภาพ  สุขภาพที่ดี จะทำให้เรา แก่อย่างมีคุณภาพ ซึ่งการเตรียมตัวด้านสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในวัยชราของคุณได้  สิ่งที่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมในด้านสุขภาพ ได้แก่ ดูแลสุขภาพทั้งอาหารการกิน  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป  หมั่นตรวจร่างกายประจำปี  งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่

4. เตรียมพร้อมด้านการเงิน ใครๆก็อยากสบายตอนแก่ทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม วัยชรา จะเป็นช่วงที่คุณยังคงมีรายจ่ายอยู่ แต่มีรายได้ต่ำ ไปจนถึงไม่มีรายได้เลย นั่นอาจทำให้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ ดังนั้นการวางแผนการเงินจึงสำคัญ การมีเงินออม จะเป็นหลักประกันว่าคุณจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นคุณควรจะเริ่มออมเงิน สำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณในไว้แต่เนิ่น ๆ

5. เตรียมพร้อมด้านที่อยู่อาศัย เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ย่อมเสื่อมสภาพไปตามอายุ ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตจะลดลง ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านจะสูงขึ้น  การเตรียมบ้านให้พร้อม และเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น และลดการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น มีพื้นต่างระดับให้น้อยที่สุด และ พื้นผิวไม่ลื่น เพื่อป้องกันการลื่นหกล้ม

ความมหัศจรรย์ของ “ขิง”

มาพบกับความมหัศจรรย์ของ “ขิง” ที่ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรบำรุงสุขภาพมายาวนานกว่าห้าพันปีกันค่ะ

#ขิง #ประโยชน์ของขิง
#Gingen #จินเจน #ขิงผงแท้100%
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ

ใคร 40 อัพ ต้องอ่าน!!
“10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ”

ผู้ใหญ่ในวัย 40 อัพนั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น อ้วนง่าย ผิวมีริ้วรอย อ่อนเพลียไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย ความจำลดลง กระดูกพรุน เป็นต้น วันนี้เราลองมาดู “10 โรคที่ต้องระวังของผู้ใหญ่วัย 40 อัพ” กันว่ามีโรคอะไรที่ต้องคอยระวังกันบ้าง

1. โรคเส้นเลือดอุดตัน (Atherosclerosis): ซึ่งแบ่งออกเป็นเส้นเลือดในหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดในสมองอุดตัน โดยโรคนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ การสูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง การไม่ออกกำลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไตรกลีเซอไรด์สูง

2. โรคมะเร็ง (Cancer): ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งมีตั้งแต่กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ คนที่ได้รับแสงแดดน้อยเกินไปหรือมากเกินไป คนที่รับประทานผักหรือผลไม้น้อย การได้รับสารคาซิโนเจน การได้รับสารซีโนเอสโตรเจน
3. โรคสมองเสื่อม (Dementia): สาเหตุของความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุด้วยกัน ตั้งแต่อัลไซเมอร์ พบมากที่สุดประมาณ 60% จากสาเหตุทั้งหมดหรือการถูกทำลายของเซลล์สมองและมีการลดลงของสารสื่อประสาท หรืออาจเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ในสมองอุดตัน ซึ่งพบได้ประมาณ 20% จากสาเหตุทั้งหมด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบมักร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน เป็นต้น
4. โรคอ้วน (Obesity): อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นอัตราการเผาผลาญ อาหารที่รับประทาน กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หรืออาจเกิดจากฮอร์โมน
5. วัยทอง: เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศลดลง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
6. โรคนอนไม่หลับ (Insomnia): สาเหตุหลักๆมาจากคุณภาพการนอนไม่ดี จนทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับแต่หลับไม่ลึก

Osteoporosis concept on white background illustration

7. กระดูกพรุน (Osteoporosis): มีหลายสาเหตุ เช่น ฮอร์โมนลดลง หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางประเภท

8. โรคข้อเสื่อม (Degenerative Joint Disease): สาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนและความเสื่อมชรา
9. ผิวหนังเสื่อมสภาพ (Aging Skin): สาเหตุเกิดจากทั้งภายในและภายนอก เช่น ระดับฮอร์โมนที่ลดลง แสงแดด การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การอักเสบติดเชื้อในร่างกายและมลภาวะเป็นพิษ
10. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย (Chronic Fatigue Syndrome): ซึ่งก็มาจากสุขภาพตามวัย

วิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆที่ทุกคนพอจะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ หรือชะลอความรุนแรงของมัน ก็คือ หลีกเลี่ยง บุหรี่ เหล้า ชา กาแฟ ของหวาน อาหาร ปิ้ง-ทอด และแสงแดดแรงๆ นอกจากนี้เรายังต้องปรับวิธีการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย

Cr: Life Center

#Gingen #ขิงผงจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

สั่งซื้อจินเจนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่:
https://shop.gingen.com

6 ข้อ! สร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง

ภูมิต้านทาน คือ เกราะป้องกันสุขภาพตามธรรมชาติ ที่คอยช่วยเหลือไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากง่ายจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกาย

ดังนั้น การมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ จึงมีส่วนช่วยไม่ให้ร่างกายอ่อนแอจากสิ่งเร้าภายนอกต่างๆ ซึ่งการดูแลและเอาใจใส่ภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรงอยู่ตลอด จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งเพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างยาวนาน

 

แล้วเราจะสร้างภูมิต้านทานให้แข็งไรงได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

✅ นอนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชม.
✅ ออกกำลังกาย วันละ 1-3 ชม. อย่างน้อย 5 วัน/ สัปดาห์
✅ ไม่เครียด ไม่หักโหมทำงานหนัก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่
✅ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สด สะอาด
✅ เสริมด้วยผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งของแร่ธาตุ วิตามิน และใยอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซีที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย และต้านโรคหวัด หรืออย่าง ส้ม และฝรั่ง ก็ยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย ช่วยระบายของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกายได้อีกด้วย
✅ ข้อมูลจากกรมอนามัยได้แนะนำให้เสริมภูมิคุ้มกันด้วยผักสมุนไพร อาทิ ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอม กระชาย มะระ ผักหวาน ขี้เหล็ก ใบกะเพรา มะเขือเปราะ และมะนาว สรรพคุณพืชผักสมุนไพรเหล่านี้ มีความเผ็ดร้อน ช่วยบรรเทาอาการของไข้หวัด และเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายได้อย่างดี

เตรียมร่างกายให้พร้อม ก็มีชัยจากเช้าไวรัสและเชื้อโรคทั้งหลายไปเกินครึ่งแล้วค่ะ สู้ๆนะคะทุกคน แล้วเราจะผ่านโรคร้ายๆต่างๆไปด้วยกันอย่างแข็งแรง

#ด้วยความห่วงใย #จินเจน

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com
#Gingen #จินเจน
#ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

“6 สิ่งมงคล” ที่ควรทำใน “วันตรุษจีน”

วันตรุษจีนนี้ มาดูสิ่งมงคลที่ชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนเชื่อว่าควรทำเพื่อเสริมโชคลาภ และเป็นศิริมงคลกันดีกว่าค่ะ

  1. ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ

เอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไหว้เจ้ากันก่อน วันไหว้เจ้านี้เราจะเรียกว่า “วันซาจั๊บ” การไหว้นั้นเริ่มจากการไหว้เจ้าในบ้าน หรือตีจูเอี๊ยะ และไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นช่วงเที่ยงก็เป็นการไหว้ผีไม่มีญาติ ของไหว้ในช่วงตรุษจีนนั้นมีทั้งอาหารคาวหวานจะมากจะน้อยจัดไปตามแต่ฐานะของผู้ไหว้ เมื่อเสร็จกิจการไหว้ก็ได้เวลาจุดประทัด ตามด้วยนำข้าวสารผสมเกลือมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป

2. ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาพ “ไฉ่ซิงเอี้ย”

เทพเจ้า ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ การตั้งพิธีรับเทพ เปรียบได้กับการทำพิธีรับโชครับทรัพย์ โดยทั่วไปมักทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนยาวไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ ไหว้แล้วก็จะได้เฮงๆ รับทรัพย์กันไปยาวๆตลอดทั้งปี

3. กินเจ มื้อแรกของปี

เช้าวันใหม่ในวันแรกของปีควรเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆด้วยการ การกินเจ เรียกได้ว่า อิ่มบุญกันตั้งแต่ต้นปีกันเลย

4. ใส่ชุดใหม่ สีสันสดใส

การใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ สีสันสดใส จะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่สดใสเข้ามาในชีวิต และสียอดนิยมของเทศกาลนี้ คือ สีแดง สีร้อนแรง สดใส ที่แฝงไว้ด้วยความหมาย ของความมงคล และความมั่งคั่ง

5. ให้ส้มอวยพรผู้ใหญ่

ตามประเพณีของชาวจีน ในช่วงวันตรุษจีน ทุกคนในบ้านจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรจากผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงเอาไว้ 1 พาน พร้อมกับลูกสมอจีนไว้รอรับแขก และเมื่อมีผู้มาอวยพรด้วยส้ม 4 ผล เจ้าบ้านจะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านของตนเองไปใส่คืนไว้ให้แขก 2 ผล เชื่อกันว่าเป็นศิริมงคลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับ

6. รับอั่งเปา

อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องเสริมมงคลในวันตรุษจีนก็คือ การรับอั่งเปาซองแดงจากผู้ใหญ่ ที่จะให้ผู้น้อยเพื่อให้เกิดความโชคดีตลอดปี ก่อนจะรับซองแดงมาอย่าลืมกล่าวคำอวยพรด้วยว่า “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” หรือถ้าอยากอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงก็จัดคำนี้ “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้เกี่ยงคัง”

————————

ช้อปออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> https://shop.gingen.com
Inbox: m.me/gingenthailand
Line: https://lin.ee/lP2ryBp
หรือ 📱 028609788

Cr. Rabbit Daily

ใครบ้างควรดื่มน้ำขิง?

ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยสารอาหาร และ ประโยชน์ต่างๆมากมายในหลายๆด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา เช่น วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนมากอีกด้วย

เรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรอย่างขิงนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง และใครบ้างควรดื่มน้ำขิง

1. คนรักสุขภาพ

หนึ่งในสรรพคุณหลักๆของขิงคือ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้ รวมถึงช่วยป้องกันไข้หวัด ดังนั้นคนรักสุขภาพจึงมักเลือกดื่มทุกเช้าหรือก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน

2. คุณแม่ตั้งครรภ์

การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือนำขิงมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร จะช่วยคุณแม่ได้ตลอดระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะแม่ท้องอ่อนที่เริ่มมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ วิงเวียน ศีรษะ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยในขิงจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ และยังช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับ รวมถึงขิงยังมีธาตุเหล็กสูง ช่วยในการบำรุงเลือด แก้อาการอ่อนเพลียอีกด้วย

3. คุณแม่ให้นม

ตามตำราแพทย์แผนจีนก็ระบุว่า ขิงมีฤทธิ์ร้อน ช่วยในการเผาผลาญ ขับลม ช่วยขับเลือดคาวปลา และช่วยกระตุ้นน้ำนม โดยเฉพาะน้ำขิงร้อนๆ ที่มีฤทธิ์ร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดเข้าไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเลือดที่ไหลเวียนมากขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงต่อมผลิตน้ำนม ทำให้น้ำนมมากขึ้นตามไปด้วย

4. ผู้สูงวัย

เพราะในผู้สูงอายุ ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักประสบปัญหาเกี่ยวกับความไม่สมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกาย ทั้งระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญที่ลดลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุ อ่อนเพลียง่าย นอนไม่หลับ ระบบย่อยอาหารไม่ดี มีภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูกตามมา

“ขิง” ที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยเติมธาตุไฟที่อ่อนลงให้สมดุล ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้คนที่หนาวง่าย “ขิงแก่” แก้ปัญหาท้องผูก จุกเสียดแน่น

5. ผู้หญิงปวดประจำเดือน

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน จึงช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น และการดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงกว่า 150 คนที่ดื่มน้ำขิงชนิดผงปริมาณ 1 กรัมต่อวัน ในช่วง 3 วันแรกของการมีประจำเดือน สรรพคุณของขิงจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. หนุ่มสาวออฟฟิศ

คนวัยทำงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขภาพมากนัก การใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบตลอดเวลา ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคต่างภัยไข้เจ็บต่างๆ

ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย มีฤทธิ์เผ็ดร้อนจึงสามารถนำมาปรุงอาหารและเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่รักสุขภาพได้อีกด้วย ทั้งยังสามารถเป็นยารักษาได้สารพัดโรค ขิงให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายและสมอง ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ, บรรเทาอาการเจ็บปวด, ช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร, ช่วยป้องกันอาการหวัด, บรรเทาอาการไมเกรน

7. นักท่องเที่ยว นักเดินทาง

ปัญหาหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักพบเจอกันเป็นประจำคืออาการเมารถในระหว่างการเดินทาง วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเมารถในขณะเดินทางท่องเที่ยวได้ กับ อาหารแก้เมารถ ที่เราแนะนำให้คุณกินในระหว่างเดินทาง

ดื่มน้ำขิง ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการเมารถเมาเรือได้ แถมยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน การดื่มน้ำขิงระหว่างหรือก่อนเดินทางจึงสามารถช่วยปรับธาตุและลดอาการเมารถได้

8. คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ขิง ช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายเหมาะสม อุณหภูมิในร่างกายของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่หากอุณหภูมิในร่างกายของเราลดลงต่ำกว่า 37 จะทำระบบการย่อยหรือการเผาผลาญพลังงานไม่สมบูรณ์ ทำงานได้ไม่เต็มที่ การดื่มน้ำขิงจะเข้าไปช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้กลับเข้าที่เข้าทางทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไปได้มากขึ้น

จากสรรพคุณที่มากมายของขิง ทั้งช่วยเรื่องวิงเวียน แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้เมารถเมาเรือ ช่วยเรื่องการไหลเวียนของน้ำนมแม่ รวมถึงช่วยเผาผลาญไขมันลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิต และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้อีกด้วย!!

ประโยชน์มากมายขนาดนี้ มีขิงผงชงพร้อมดื่มไว้ติดบ้านไว้บ้างก็ดีนะคะ ^^

————————
#ขิงผงจินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน
#ชงดื่มดีมีประโยชน์
#ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปออนไลน์ได้ที่: https://shop.gingen.com

Cr: medthai.com

“โรคหัวใจ” สถิติตายอันดับ 1…รู้ทัน ป้องกันได้

“โรคหัวใจ” อันตราย แต่ป้องกันได้!!
.
คุณเคยมีอาการชาตามมือและขา หรือแขนขามีอาการอ่อนแรง มือเท้าเย็นหรือบางทีก็บวมมั้ยคะ?
.
อาจจะเป็นได้ว่ามันเกิดจากระบบไหลเวียนเลือดของคุณไม่ดี และอาจเพิ่มระดับความรุนแรงได้ถึงขั้นกลายเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเลือดสมองก็เป็นได้
.
วันนี้จินเจนเลยเอาวิธีการง่ายๆมาช่วยให้ระบบไหลเวียนของเราดีขึ้น ลองไปดูกันได้เลยค่ะ ^^

  1. เดิน เพราะเลือดที่นำพาทั้งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงทุกเซลล์ทั่วร่างกายจำเป็นต้องไหลกลับหัวใจเพื่อฟอกรับออกซิเจนใหม่ และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เลือดจะไหลจากที่ต่ำขึ้นมายังช่วงอกได้ การเดินนั้นจึงเป็นเหมือนกับการเปิดเครื่องปั้มน้ำ มันจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดให้เลือดไหลเวียนได้ดีและง่ายขึ้น ดังนั้นเราจึงควรพยายามเดินระหว่างวันให้มาก ทั้งเดินไปกินข้าว ซื้อของ ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ รวมทั้งขยับและเคลื่อนไหวร่างกายในออฟฟิศอย่างกระฉับกระเฉง อย่ามัวเอาแต่นั่งหน้าจอทั้งวันนะคะ
  1. หันมาออกกำลังกายจริงจัง การออกกำลังกายจะช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าฟิตเนสให้เสียเงินมากมายก็ได้นะคะ แค่ท่ากายบริหารไวเด็กที่คุ้นเคย เอามาทำเป็นเซ็ทอย่างจริงจัง เคลื่อนไหวให้ครบทุกส่วน แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วหล่ะค่ะ
  1. ลดการกินเค็ม เพราะอาหารเค็มจะทำให้ความดันโลสูง แถมยังทำให้การไหลเวียนเลือดแย่ลงอีกด้วย
  1. ยกขาขึ้นสูง ในแต่ละวัน ลองหาเวลานอนลงกับพื้น ปูเสื้อโยคะหรือผ้ารองนุ่มๆยกขาขึ้นสูง ถ้าไม่ถนัดก็อนุญาตให้นอนใกล้ผนังได้ แล้วยกขาพิงกับผนังทิ้งไว้อย่างนั้นวันละ 20 นาที
  1. ดื่มน้ำวันละ 1.5 – 2.5 ลิตร คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำทั้งวันแค่ 2 – 3 แก้ว ซึ่งมันไม่เพียงต่อที่ร่างกายต้องการเลย เพราะมันจะทำให้เลือดข้นหนืด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ถ้าไม่อยากกินยาละลายลิ่มเลือดหล่ะก็ ต้องดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้วให้ได้นะคะ
  1. ลดความเสี่ยงด้วยพฤติกรรมไม่ดี เช่น การดื่มหนัก สูบบุหรี่จัด ดื่มแต่น้ำอัดลม หรือการกินอาหารที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย

#Gingen #ห่วงใยคุณ
#สุขภาพดีสร้างได้
#ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย
ช้อปจินเจนออนไลน์ที่ >> shop.gingen.com

9 สิ่งที่ทำแล้วชีวิตดี ก่อนปีใหม่

เคล็ดลับง่ายๆแค่ 9 ข้อ ที่อยากจะบอก ถ้าทำได้ ชีวิตดีแน่นอน

1. การทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้ทำมาตลอดปี การทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้ทำมาตลอดปี ว่าได้กระทำอะไรไปบ้าง ทั้งสิ่งที่ดี สิ่งที่ทำสำเร็จ รวมถึง สิ่งที่ไม่ดี และ สิ่งที่ล้มเหลว เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาตัวเอง ให้ดียิ่งขึ้น และ เบียดเบียน สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นน้อยลง

2.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าปีหน้าจะทำอะไรบ้าง อย่างไร ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตื่นเต้น และสนุกมาก กับการตั้งเป้าหมายในปีถัดไป ในทุกๆ เรื่อง บางเรื่องอาจจะต่อเนื่องจากปีที่แล้วก็ได้ ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ? เรื่องง่ายๆ เช่น จะนอนวันล่ะ 8 ชั่วโมง ออกกำลังกายทุกกวันวันล่ะ 1 ชั่วโมง หรือจะหาทีมเพิ่ม หรือจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น อ่านหนังสือวันล่ะกี่เล่ม หรือเรียนสัมมนาอะไรบ้าง ?(เรียนภาวะผู้นำสิ สร้างผลลัพธ์ได้เยอะเลย 5555) เป็นต้น  และคุณก็จดบันทึกเป้าหมายใหม่ตรงนั้น ลงในสมุด กระดาษ หรือในที่ๆคุณจะเห็นมันทุกวัน

3.จัดบ้าน หรือจัดโต๊ะทำงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานที่บ้านหรือที่ออฟฟิศก็ตาม นับว่าเป็นที่ที่เราใช้เวลากับมันมากพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่เคลียร์ออกไปก็จะทำให้บ้าน หรือโต๊ะเรายิ่งดูรกกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ทางที่ดีลองใช้เวลานี้เคลียร์ให้บ้านสะอาด โต๊ะโล่งๆ เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้รู้สึกดีๆ ก่อนจะเริ่มต้นทำงานปีหน้า

4. อย่าละเลยการออกกำลังกาย . แม้จะรูปร่างดีอยู่แล้ว หรือวุ่นกับงานมากๆ ก็ไม่ควรหยุดออกกำลังกายนะคะ และถ้าหาเวลาว่างยาก ลองปรับเวลาออกกำลังกายเป็นเวลาที่สะดวกและทำได้ทุกวัน ซึ่งก็คือหลังตื่นนอนตอนเช้า เพราะจะกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานแต่เช้า และไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเวลาระหว่างวันด้วย นอกจากนี้ การเดินหรือร่วมกิจกรรมในงานเลี้ยงก็ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆ หรือการเต้นก็ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีเช่นกัน

5. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลังจากที่กินตามใจปากมามากทั้งปีแล้ว ปีใหม่นี้ก็ได้ฤกษ์กลับมาดูแลตัวเองเสียที ไม่ว่าจะทำกินเองที่บ้านหรือกินเลี้ยงข้างนอกก็ตาม เคล็ดลับคือเลือกตักอาหารพวกผัก ผลไม้ หรือถั่วเป็นหลัก เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารแล้ว อาหารประเภทกากใยจะยังทำให้เราอิ่มไวขึ้นด้วยค่ะ

6.. ตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ว่าเราจะอายุ 18 หรือ 80 ปี เราก็จำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต มะเร็งปากมดลูก เบาหวาน หรือภาวะผอม หรืออ้วนเกินไป รวมไปถึงการตรวจสายตาและตรวจสุขภาพฟัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจไปได้ตลอดทั้งปี ว่าเรามีสุขภาพดี หรือหากเราพบปัญหาทางสุขภาพปัญหาใดปัญหาหนึ่ง เราจะได้แก้ไขได้ทันเวลาโดยที่สายเกินไป

7.ใช้เวลากับเรื่องไร้สาระให้น้อยลง . เดี๋ยวนี้ในโลกโซเชียลมีประเด็นดราม่า และข่าวกอสซิปให้เราได้ติดตามมากมาย คนนู้นคนนี้เลิกกัน ดาราตีกัน ดาราแต่งตัวโป๊ เรื่องพวกนี้เม้าท์กันเพลินๆ ก็สนุกปากดีค่ะ แต่อย่าไปใช้เวลา หรืออินกับมันมากเกินไปนัก ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ

8.ให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขให้ตัวเอง ความต้องการของคุณมันเป็นสิ่งสำคัญเสมอเช่นเดียวกับคุณค่าของตัวคุณ ถ้าคุณยังไม่ให้คุณค่ากับตัวคุณเองแล้วใครจะมาให้แทนได้อีก? จงจำไว้ว่าคุณสามารถหาทางให้ความสุขกับตัวคุณเองในขณะที่ยังสามารถแคร์คนรอบข้างคุณได้ ไม่ใช่เอาแต่แคร์คนอื่นจนไม่ให้ความสุขตัวเอง

9. รู้จักให้อภัยคนรอบข้าง และแบ่งปันความสุข คนที่เคยทำให้เราขุ่นเคืองใจ โกรธ หรือเคียดแค้น จากนี้เราก็จงให้อภัยเขา อย่าเอามันมาเป็นกำแพงในการสร้างความสุขของเรา แล้วมาเริ่มต้นกับปีใหม่ เอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากขึ้น ควบคู่ไปกับหมั่นสำรวจความคิดและความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ช่วงไหนทุกข์หรือเครียดมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกจากภาวะนั้นโดยเร็วที่สุด และเมื่อมีความสุขแล้วก็อย่าลืมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนรอบข้างด้วยนะคะ ความสุขยิ่งแบ่งปันไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งกลับเข้ามาหาเราแบบทวีคูณค่ะ

———————————————————

สามารถหาซื้อน้ำขิงจินเจนได้แล้วที่ shop.gingen.com

#Gingen #จินเจน #ขิงผงจินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน #ดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

“ผู้สูงอายุ” กับ “5 โรคยอดฮิต”

#ได้เวลาสำรวจตัวเองหรือผู้สูงอายุในครอบครัว ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป…

มาเตรียมความพร้อมในด้านความรู้ ข้อมูล หรือวิธีการดูแลเกี่ยวกับผู้สูงอายุกันนะคะ กับ “5 โรคยอดฮิต ของผู้สูงอายุ” หวังว่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านนะคะ

1. โรคซึมเศร้า

เป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตใจที่สำคัญซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ เพราะโรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตาย
……………………..……………………..…………

สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า
– การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมอง
– โรคทางกายบางอย่างการได้รับยาหลายขนานที่ทำให้เกิดอาการเศร้า
– การสูญเสียสิ่งที่มีค่าในชีวิต เช่น คู่ชีวิต หรือการงานโดยการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ต้องมาเป็นผู้ตาม เป็นต้น
……………………..……………………..…………

ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคซึมเศร้า
– หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
– พยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในวัยนี้
– ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก รวมทั้งทำกิจกรรมเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น
– หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

2.โรคกระดูกพรุน


เป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุทุกคน อันมีสาเหตุสำคัญจากการทำงานของฮอร์โมนที่ลดลง
……………………..……………………..…………
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
– ไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอ
– กรรมพันธุ์
– การใช้ยาสำหรับโรคบางอย่างทำให้เกิดการลดความหนาแน่นของกระดูก เช่น ยาคอร์ติโซน สำหรับโรคไขข้ออักเสบ ยาเฮปาริน สำหรับโรคหัวใจและความดันโลหิต
– การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ
– ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ดื่มชา หรือกาแฟ ซึ่งมีผลทำให้กระดูกเสื่อมง่าย
– ฮอร์โมนลดลง เช่น ในหญิงวัยหมดประจำเดือน
– ขาดการออกกำลังกาย
– ขาดวิตามินดี เพราะในวิตามินดี มีความจำเป็นในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้
……………………..……………………..…………
ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคกระดูกพรุน
– ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร
– เมื่อมีความเจ็บปวดไม่ว่าสาเหตุใด ควรรีบทำกายภาพบำบัดหรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย
– ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นปลากระป๋องปลาเล็กปลาน้อยหรือดื่มนมพร่องมันเนยผักผลไม้เป็นต้นมา
– งดดื่มสุราและงดสูบบุหรี่
– หลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาลูกกลอน เพราะมันจะมีสารสเตียรอยด์สะสมอยู่จะทำให้กระดูกพรุนโดยไม่รู้ตัว

3. โรคข้อเสื่อม

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่กระดูกอ่อนผิวข้อเป็นหลัก โดยมากเป็นตำแหน่งข้อ คือ มีอาการปวดและมักเป็นหลังจากที่มีการใช้ข้อมากกว่าปกติ อาจมีอาการเจ็บด้านใดด้านหนึ่งของข้อได้ หรืออาจมีอาการบวมแดง แต่เมื่อได้พักอาการปวดก็จะลดลงหรือหายไป แต่อาการจะเป็นๆหายๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งานข้อนอก จากนี้ยังมีอาการข้อฝืดเกิดขึ้นจากการหยุดการเคลื่อนไหวข้อเป็นเวลานาน เช่น นั่งท่าเดียว นั่งสมาธิและนั่งพับเพียบฟังเทศน์ เป็นต้น
……………………..……………………..…………
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เป็นโรคข้อเสื่อม
– อายุมากขึ้น
– พันธุกรรมและโรคทางเมตาโบลิค เช่น โรคเก๊าท์
– เป็นโรคที่ทำให้เกิดข้ออักเสบ เช่น โรคข้อ รูมาตอยด์ หรือข้ออักเสบติดเชื้อ
– การได้รับบาดเจ็บของข้อ อาจมีการเคลื่อนไหวข้อซ้ำๆ หรือมีน้ำหนักที่กดทับลงผิดข้อ ก็มีโอกาสเกิดข้อเสื่อมได้
– อาชีพการงานที่มีการใช้นิ้วมือมาก
– ความอ้วน พบว่า คนอ้วนมีโอกาสเกิดโรคข้อเสื่อมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเพศหญิง ซึ่งมักเป็นที่ข้อรับน้ำหนัก เช่น ข้อเข่า เป็นต้น
– กล้ามเนื้อต้นขาเหนือเข่าอ่อนแรงหรือลีบ จะมีโอกาสเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมสูงขึ้น
……………………..……………………..………….
ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคข้อเสื่อม
– หมั่นออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
– การนั่งส้วมไม่ควรนั่งยอง ควรปรับเปลี่ยนเป็นชักโครก หรือหาม้าสามขา มาคร่อมบนส้วมซึม
– ไม่ควรนั่งกับพื้น หรือทำกิจกรรมที่ต้องก้มเป็นเวลานาน
– หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดหรือที่สูงชัน
– หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
– หากมีน้ำหนักตัวมากหรืออ้วน ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

4 .เวียนศีรษะ

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยมากอาการมักเป็นๆหายๆ บางครั้งอาจจะมีอาการบ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งสาเหตุของอาการเวียนศีรษะนั้นเกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวกับการควบคุมการทรงตัวของร่างกาย องค์ประกอบไปด้วย อวัยวะทรงตัวในหูชั้นในการมองเห็น ระบบประสาท ตลอดจนสมองน้อยที่ควบคุมการทรงตัว ระบบกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
……………………..……………………..…………
สิ่งกระตุ้นอื่นๆที่ทำให้สูญเสียการทรงตัวเร็วขึ้น
– โรคที่มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันสูง หรือโรคหัวใจ ที่ทำให้เกิดการตีบของหลอดเลือด เลือดจึงไหลไปเลี้ยงอวัยวะทรงตัวหูชั้นในได้ไม่ดี หรือไปเลี้ยงสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวได้ไม่เพียงพอ
– โรคที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทรับความรู้สึก เช่น โรคเบาหวาน โรคไตวาย ฯลฯ
– โรคที่มีผลต่อกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น ข้อเสื่อม หรือเคยมีกระดูกหักมาก่อน ฯลฯ
– โรคของหูต่างๆ อาจทำให้ผมทำงานแย่ลง เช่น โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
– โรคอื่นๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์
……………………..……………………..…………
ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกเวียนศีรษะไม่หาย
– อันดับแรกต้องหาสาเหตุให้พบก่อนว่าเกิดจากอะไร โดยการไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
– สำหรับผู้ที่มีอาการเดินเซ เวียนศีรษะ ไม่ควรให้นั่งหรือนอนอยู่เพียงอย่างเดียว แต่ควรได้เดินไปทำกิจวัตรประจำวันด้วย แต่ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่ควรพยุงดวงตลอดเวลา เพราะจะทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถเดินเองได้ต่อไป

5 .โรคสมองเสื่อม

เป็นโรคที่มักพบในผู้สูงอายุที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งแก้ไขได้ เช่น เกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิด หรือ แก้ไขไม่ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์
……………………..……………………..……..
ผู้ที่อาจเป็นโรคสมองเสื่อมจะมีอาการ
มักลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มาไม่นาน ขณะที่ความจำเรื่องเก่าในอดีตยังดีอยู่ ทำสิ่งที่เคยทำเป็นประจำไม่ได้ มักถามซ้ำๆ ในเรื่องที่เพิ่งบอกไป สับสนเรื่องวัน เวลาสถานที่ พฤติกรรม อารมณ์ และบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงจากเดิม

จริงอยู่ที่ว่าอาการหลงลืมมากเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุและอาจไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อม แต่หากรู้สึกว่ามีอาการที่น่าสงสัยเหล่านี้ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันและรักษาทันท่วงที
……………………..……………………..……..
ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคสมองเสื่อม
– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
– ระวังการใช้ยาเอง ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้ง และควรนำยาที่รับประทานเป็นประจำไปให้แพทย์ดูเพื่อกันการสั่งยาซ้ำซ้อน
– หมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และเจาะเลือดตรวจหาประวัติและไขมันในเลือดสูง
– ออกกำลังกายเป็นประจำ
– หากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดและชะลอภาวะสมองเสื่อม เช่น ดนตรีบำบัด เต้นรำ เล่นเกมฝึกสมอง กลิ่นบำบัด และการออกกำลังกายที่ฝึกความสำพันธ์ของร่างกายและการสั่งงานของสมองซีกซ้ายและขวา
ผู้ดูแลต้องมีความอดทนและมีความยืดหยุ่นกับการดูแลผู้ป่วยโรคนี้เป็นอย่างมาก เพราะผู้สูงอายุที่เป็นโรคนี้จะมีขีดจำกัดหลายด้าน เช่น หิวอาหารไม่เป็นเวลา เดินช้า พูดช้า ตัดสินใจช้าและต้องให้กำลังใจผู้สูงอายุ อย่าดุด่าว่ากล่าวให้ท่านเกิดความท้อแท้และหมดกำลังใจ
……………………..……………………..………….
เทคนิคพัฒนาความจำ
– ตั้งสมาธิกับสิ่งที่ทำและพยายามนึกสร้างภาพในใจเมื่อต้องจดจำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
– เลือกจำเพาะข้อมูลที่สำคัญแล้วที่จำเป็นเท่านั้น
– พกสมุดบันทึกติดตัวตลอดเวลา

สุดท้ายขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลสุขภาพของตัวเองอยู่เสมอนะคะ

#ด้วยความห่วงใย
#Gingen
#ขิงผงจินเจน
#ชงดื่มดีมีประโยชน์ #ปรุงอาหารก็อร่อย

ช้อปออนไลน์ได้แล้ววันนี้ที่ >> https://shop.gingen.com
Inbox: m.me/gingenthailand
Line: https://lin.ee/lP2ryBp
หรือ 📱 028609788

Cr.สสส.